ผลกรรมที่พระพุทธเจ้าได้รับ


เป็นที่แน่นอนว่า
สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้  มีอยู่ประมาณเท่าใด
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น

แต่ถึงกระนั้น  ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเลิศกว่าสัตว์ทั้งหลายในโลก
ก็ยังหนีไม่พ้นผลของกรรมที่เคยกระทำไว้ในปางก่อน

ในพุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปิโลติ
และในอรรถกถาของพุทธาปทาน
ได้กล่าวถึงกรรมที่พระพุทธเจ้าได้เคยกระทำไว้ในอดีตชาติ
และผลของกรรมที่ยังให้ผลอยู่ในชาติสุดท้ายนี้



(ขอบคุณภาพจาก  chuavanduc.vn)


--- ตัวอย่างกรรมที่ ๑ ---
ในอดีตชาติ  ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์  ได้กล่าวดูหมิ่นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่า
"สมณะโล้นนี้จะตรัสรู้ได้จริงหรือ  การตรัสรู้เป็นของยาก"
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  ต้องบำเพ็ญทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี  กว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ไม่มีพระองค์ไหนใช้เวลาแสวงหาทางตรัสรู้นานถึง ๖ ปีเลย

--- ตัวอย่างกรรมที่ ๒ ---
ในอีกชาติหนึ่ง  พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลศูทร
ได้กล่าวโทษพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งว่า
"สมณะผู้นี้เป็นคนทุศีล  มีธรรมเลวทราม"
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  ถูกนางจิญจมาณวิกากล่าวตู่ว่าทำให้นางตั้งครรภ์

--- ตัวอย่างกรรมที่ ๓ ---
อีกชาติหนึ่ง  พระโพธิสัตว์เกิดเป็นมนุษย์ที่สมาคมกับคนพาล
ได้กล่าวโทษพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งว่า
"สมณะผู้นี้เป็นคนทุศีล  มีธรรมเลวทราม"
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  ถูกนางสุนทรีกล่าวตู่ว่าได้นอนในพระกุฏิเดียวกับพระพุทธเจ้า

--- ตัวอย่างกรรมที่ ๔ ---
อีกชาติหนึ่ง  พระโพธิสัตว์เป็นดาบสอยู่ในป่า  มีลูกศิษย์มากมาย
วันหนึ่ง  เห็นดาบสอีกรูปหนึ่งเป็นผู้มีฌาน  เข้าไปในป่า
เมื่อเห็นแล้ว  ถูกความริษยาครอบงำ  จึงด่าว่าดาบสรูปนั้นซึ่งเป็นผู้ไม่ประทุษร้าย
บอกศิษย์ของตนว่า  "ดาบสรูปนี้หลอกลวง  ยังบริโภคกามอยู่  ไม่ได้มีศีลจริง"
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  ถูกพวกเดียรถีย์กล่าวหาว่าเป็นผู้ฆ่านางสุนทรีแล้วซ่อนศพไว้ในวิหาร

--- ตัวอย่างกรรมที่ ๕ ---
อีกชาติหนึ่ง  พระโพธิสัตว์มีน้องชายคนหนึ่ง
เมื่อบิดาตายไป  พี่น้อง ๒ คนได้ทะเลาะวิวาทกัน
พี่ชายซึ่งแข็งแรงกว่า  ได้ใช้ก้อนหินทับน้องชายไว้
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  ถูกพระเทวทัตกลิ้งแผ่นหินให้หล่นมาทับ

--- ตัวอย่างกรรมที่ ๖ ---
อีกชาติหนึ่ง  พระโพธิสัตว์เป็นเด็กชาวบ้านคนหนึ่ง
วันหนึ่ง  เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังบิณฑบาตอยู่
เด็กคนนั้นเอาก้อนหินขว้างไปที่หลังเท้าของพระปัจเจกพุทธเจ้า  ทำให้หลังเท้าฉีก  เลือดไหลออก
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  เมื่อพระเทวทัตกลิ้งแผ่นหินให้หล่นมาทับ  แต่แผ่นหินนั้นไปกระทบถูกแผ่นหินอีกก้อน  จึงแตกออก
สะเก็ดหินชิ้นหนึ่งได้ปลิวไปกระทบที่หลังพระบาทของพระพุทธเจ้าอย่างแรง  จนห้อพระโลหิต

--- ตัวอย่างกรรมที่ ๗ ---
อีกชาติหนึ่ง  พระโพธิสัตว์เป็นคนเลี้ยงช้าง
วันหนึ่ง  เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ที่ถนนแห่งหนึ่ง  จึงไสช้างเข้าใส่
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  ถูกพระเทวทัตมอมเหล้าช้างนาฬาคิรี  แล้วปล่อยให้วิ่งเข้าทำร้ายพระพุทธเจ้า

--- ตัวอย่างกรรมที่ ๘ ---
อีกชาติหนึ่ง  พระโพธิสัตว์เป็นพระราชา  แต่เป็นคนพาล  เพราะคลุกคลีอยู่กับคนพาล
วันหนึ่ง  ถือเอามีดเข้าไปฆ่าฟันผู้คนในเมืองซึ่งไม่มีความผิด
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  เมื่อเกิดห้อพระโลหิตขึ้น  หมอชีวกจึงรักษาด้วยการใช้มีดผ่าฝีที่บวมขึ้นนั้น  ตัดหนังที่พระบาทนั้นออก

--- ตัวอย่างกรรมที่ ๙ ---
อีกชาติหนึ่ง  พระโพธิสัตว์เป็นชาวประมง
ทำความพอใจที่เห็นปลาทั้งหลายตาย
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  จึงมีอาการประชวรปวดศีรษะขึ้นเอง

--- ตัวอย่างกรรมที่ ๑๐ ---
อีกชาติหนึ่ง  พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลสูง  มีความหยิ่งในชาติตระกูล
วันหนึ่ง  เห็นภิกษุสงฆ์ฉันโภชนะอันประณีตอยู่  จึงด่าว่า
"เจ้าพวกนักบวชศีรษะโล้นเหล่านี้  จงกินแต่ข้าวแดงเถอะ  อย่าได้กินข้าวสาลีอย่างดีเลย"
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  ได้รับนิมนต์จากพราหมณ์ให้อยู่จำพรรษาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
แต่เมื่อทรงรับนิมนต์แล้ว  พราหมณ์ถูกมารดลใจ  ทำให้ลืมถวายภัตตาหารตลอดพรรษา
พระพุทธเจ้าทรงได้รับข้าวแดงจากคนเลี้ยงม้าแทนตลอด ๓ เดือนนั้น

--- ตัวอย่างกรรมที่ ๑๑ ---
อีกชาติหนึ่ง  พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคหบดี  มีพละกำลังแข็งแรง
ได้ต่อสู้กับนักมวยปล้ำคนหนึ่ง  จับนักมวยปล้ำคนนั้นยกขึ้นหมุนในอากาศ  แล้วโยนลงพื้น  ทำให้กระดูกไหล่เคลื่อน
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องปวดตามตัวและศีรษะในภพชาติที่เกิด
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  ยังมีการขัดยอกที่พระปฤษฎางค์ (หลัง) เป็นครั้งคราว

--- ตัวอย่างกรรมที่ ๑๒ ---
อีกชาติหนึ่ง  พระโพธิสัตว์เลี้ยงชีพด้วยการปรุงยารักษาคน
วันหนึ่ง  ได้ปรุงยารักษาโรคให้ลูกของเศรษฐีคนหนึ่งจนหายดี
แต่ไม่ได้รับเงินตอบแทนจากเศรษฐี  จึงปรุงยาอีกชนิดหนึ่งให้ลูกเศรษฐีกิน
ลูกเศรษฐีกินยานั้นแล้วอาเจียนออกมาอย่างหนัก
เพราะผลกรรมนั้น  ทำให้ต้องป่วยและอาเจียนในภพชาติที่เกิด
และด้วยเศษของผลกรรมที่ยังเหลืออยู่  ทำให้ในชาติสุดท้ายนี้  เมื่อเสวยเนื้อที่นายจุนทะถวายแล้ว  เกิดอาพาธ  มีการถ่ายลงพระโลหิต
.....


จากตัวอย่างที่ยกมานี้
แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เลิศในโลก
ก็ยังหนีไม่พ้นผลแห่งกรรมไม่ดีที่เคยกระทำไว้ในกาลก่อน
และพระองค์ก็ไม่เคยคิดที่จะหนีด้วย

แล้วพวกเราผู้ซึ่งเรียกตนเองว่า  "สาวกของพระพุทธเจ้า"
เป็นผู้ที่นับถือ  "พระพุทธศาสนา"
ยังคิดที่จะหาทางหนีผลแห่งกรรมไม่ดีที่เคยกระทำไว้ในกาลก่อนไหม
หรือจะยอมรับกรรมโดยความเคารพ
และตั้งใจทำแต่กรรมที่เป็นกุศล  ละเว้นการทำกรรมที่เป็นอกุศล
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
..........


คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง

ให้พระปริตรคุ้มครองต้องทำยังไง


ในสมัยพุทธกาล  มีภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัดตาย
เมื่อภิกษุทั้งหลายนำเรื่องไปกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
"ภิกษุรูปนั้นคงจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปให้พญางูทั้ง ๔ ตระกูล
เพราะถ้าเธอแผ่เมตตาจิตไปให้พญางูทั้ง ๔ ตระกูลนั้น  เธอก็จะไม่ถูกกัดจนมรณภาพ"

แล้วตรัสให้ภิกษุทั้งหลายแผ่เมตตาจิตให้พญางูทั้ง ๔ ตระกูลนี้
เพื่อคุ้มครองตน  เพื่อรักษาตน  เพื่อป้องกันตน

จากนั้น  ได้ตรัสพระคาถาต่อไปอีก  มีใจความว่า
       "เราขอมีเมตตาต่อตระกูลพญางูวิรูปักขะ
เราขอมีเมตตาต่อตระกูลพญางูเอราปถะ
เราขอมีเมตตาต่อตระกูลพญางูฉัพยาปุตตะ
เราขอมีเมตตาต่อตระกูลพญางูกัณหาโคตมกะ
       เราขอมีเมตตาต่อสัตว์ไม่มีเท้า
เราขอมีเมตตาต่อสัตว์สองเท้า
เราขอมีเมตตาต่อสัตว์สี่เท้า
เราขอมีเมตตาต่อสัตว์หลายเท้า
       สัตว์ไม่มีเท้าอย่าได้เบียดเบียนเรา
สัตว์สองเท้าอย่าได้เบียดเบียนเรา
สัตว์สี่เท้าอย่าได้เบียดเบียนเรา
สัตว์หลายเท้าอย่าได้เบียดเบียนเรา
       ขอสรรพสัตว์ที่มีลมหายใจ
ขอสรรพสัตว์ที่ยังมีชีวิตทั้งมวล
จงประสพกับความเจริญ
ความเลวร้ายอย่าได้มาแผ้วพานสัตว์ใด ๆ เลย
       พระพุทธเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้
พระธรรมมีพระคุณหาประมาณมิได้
พระสงฆ์มีพระคุณหาประมาณมิได้
สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย  คือ
งู  แมงป่อง  ตะขาบ  แมงมุม  ตุ๊กแก  หนู  มีคุณพอประมาณ
       เราทำการรักษา  ทำการป้องกันไว้แล้ว
ขอหมู่สัตว์ผู้มีชีวิตทั้งหลายจงหลีกไป
เรานั้นขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาค
ขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์"
.....
(อ่านเพิ่มเติมได้ในอหิราชสูตร)



(ขอบคุณภาพจาก pixabay.com)


ในปัจจุบัน  มีการนำพระคาถานี้มาสวดเป็นพระปริตร (เครื่องป้องกัน)
เพื่อหวังอานิสงส์ในการคุ้มครองตนเองให้ปลอดภัยจากสัตว์ร้ายต่าง ๆ

แม้ในงานที่นิมนต์พระสงฆ์มาสวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล
ก็มีการสวดพระคาถานี้ด้วย

คนส่วนใหญ่คิดว่าการสวดพระคาถานี้  จะมีอานิสงส์ทำให้ปลอดภัยจากสัตว์ร้าย

มีหลายคนที่สวดหรือฟังเป็นภาษาบาลี  แต่ไม่รู้คำแปล
และหลายคนที่รู้คำแปล  แต่ไม่รู้ความหมายหรือสิ่งที่พระคาถาสอนไว้
(แต่คิดว่าพระคาถาจะช่วยให้ปลอดภัยได้)
.....


ลองกลับไปอ่านเนื้อความในย่อหน้าแรกอีกครั้ง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"ภิกษุรูปนั้นคงจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปให้พญางูทั้ง ๔ ตระกูล
เพราะถ้าเธอแผ่เมตตาจิตไปให้พญางูทั้ง ๔ ตระกูลนั้น  เธอก็จะไม่ถูกกัดจนมรณภาพ"

แสดงว่า  สาเหตุที่ภิกษุรูปนั้นถูกงูกัด  เป็นเพราะไม่ได้เจริญเมตตาจิต
ไม่ใช่ถูกงูกัดเพราะไม่ได้สวดพระปริตร
.....


ลองนึกภาพงูและคนที่เผชิญหน้ากันโดยบังเอิญ
ถ้าคนไม่ทำอะไรที่เป็นสัญญาณอันตรายให้งูตัวนั้นตกใจ
คุณคิดว่างูตัวนั้นจะพยายามเลื้อยหนี  หรือจะเลื้อยเข้ามากัดครับ

ตรงกันข้าม
ถ้าคนนั้นทำท่าทางที่ทำให้งูคิดว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับมัน
มันก็อาจจะฉกกัดคนคนนั้นเพื่อป้องกันตัวเองก็ได้
.....


ความสำคัญของพระคาถานี้ (หรือที่นำมาสวดเป็นพระปริตรกัน)
ก็คือคำสอนที่อยู่ในพระคาถานั้น
เป็นเครื่องช่วยเตือนสติให้ผู้สวดหรือผู้ฟังมีเมตตาในสัตว์ทั้งหลาย

เมื่อเรามีเมตตาจิต  ปรารถนาดี  อยากให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุข
เราก็จะไม่คิดเบียดเบียนหรือทำร้ายสัตว์เหล่านั้น

เมื่อเราไม่เบียดเบียน  ไม่ทำร้ายทำลายสัตว์เหล่านั้น
สัตว์เหล่านั้นก็ไม่ทำร้ายเราเช่นกัน
.....


ฉะนั้น  ถ้าอยากแคล้วคลาดปลอดภัยจากสัตว์ร้าย
ด้วยวิธีของพระพุทธเจ้า
ก็ต้องมีความเมตตาปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งหลาย
ไม่คิดร้าย  ไม่เบียดเบียน  ไม่ทำอันตรายใด ๆ
เพียงเท่านี้  เราก็จะปลอดภัยจากสัตว์ร้ายทั้งหลาย
.....


จากที่กล่าวมานี้
การเพียงแค่สวดหรือฟังพระคาถาหรือพระปริตรใด ๆ ก็ตาม
ไม่ได้ทำให้เราแคล้วคลาดจากภัยอันตรายได้

แต่การปฏิบัติตามคำสอนในพระคาถาหรือพระปริตรนั้น ๆ ต่างหาก
ที่จะช่วยให้เราแคล้วคลาดปลอดภัยได้

ขอให้เจริญในกุศลธรรม
และมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะครับ
..........


คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. อหิราชสูตร (ว่าด้วยตระกูลพญางู)


เมื่อเห็นข่าวคนอกตัญญู


วันก่อน  ได้เจอคลิปข่าวลูกชายเมายาบ้า  คลุ้มคลั่ง  ตบตีแม่ของตน
ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ก็ไม่สามารถเข้าไปห้ามได้  เพราะเขาถือขวานไว้ในมือด้วย

ข่าวของลูกทรพี  คนอกตัญญู
นอกจากจะไม่ตอบแทนพระคุณแล้ว  ยังทำร้ายพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดอีก
เชื่อว่าหลายคนที่ได้ดูคลิปนี้  หรือได้ยินข่าวคราวอื่น ๆ ในลักษณะนี้
ก็คงจะคิดสาปแช่ง  โกรธเกลียดคนที่ทำกับพ่อแม่อย่างนั้น
.....







(ขอบคุณคลิปจากเฟสบุ๊คของ Siwatpanumet Wongwatcharathanakorn)


องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
"สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน  เป็นผู้รับผลของกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด  มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ใครทำกรรมใดไว้  จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม  ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น"

ถ้าเราน้อมนำคำสอนนี้มาพิจารณาเรื่องของคนอกตัญญู
เราจะคิดอย่างไ
.....

คนที่อกตัญญู  เขาคือผู้ก่อกรรม
เขาจะได้รับผลแห่งการกระทำที่ไม่ดีของเขาไหม
เราต้องไปสาปแช่งหรือจงเกลียดจงชังเขา  แล้วทำให้ใจเราเศร้าหมองไหม

คนที่ถูกทำร้าย  เขาคือผู้รับกรรม
แสดงว่าเขาเคยทำกรรมไม่ดีมาก่อนใช่ไหม
เราจะไปเปลี่ยนผลของกรรมให้ใครได้ไหม
.....

พระมหาโมคคัลลานะ  อัครสาวกเบื้องซ้าย  เป็นเลิศทางด้านมีฤทธิ์มาก
ในอดีตชาติ  ท่านเคยหลงเชื่อคำยุยงของภรรยา  ทำให้ฆ่าพ่อแม่ของตนเอง
ด้วยกรรมนั้น  ทำให้ท่านต้องไปไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี
พ้นจากนรก  ก็ถูกทุบตายอีก ๑๐๐ ชาติ
แม้ในชาติสุดท้ายนี้  ก็ยังรับผลของกรรมที่ตนเองกระทำไว้
ถูกโจร ๕๐๐ คนร่วมกันทุบตีจนกระดูกแหลกละเอียด
แม้จะเป็นผู้มีฤทธิ์มาก  ก็ไม่สามารถหนีผลของกรรมได้
.....

ถ้าเราตระหนักได้ว่า
"สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน  เป็นผู้รับผลของกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด  มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ใครทำกรรมใดไว้  จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม  ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น"

เราก็จะวางใจให้มีเมตตากรุณา  สงสารคนที่อกตัญญูต่อผู้อื่น
เพราะเขาจะต้องรับกรรมนั้นต่อไป

สำหรับคนที่ถูกกระทำ  ถ้าเราช่วยเหลืออะไรได้ก็ช่วย  ช่วยไม่ได้ก็ปล่อยวาง
เพราะเขาทำเหตุที่ต้องมารับกรรมนี้เอง

แต่ที่สำคัญ
เราทุกคนไม่อยากเป็นฝ่ายถูกกระทำ  ไม่อยากให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดกับตนเอง
เราก็จะต้องกลับมาเตือนตนเอง
ไม่ให้ทำกรรมที่ไม่ดี  ที่จะทำให้เราต้องรับผลกรรมไม่ดีอย่างนั้นเหมือนกัน
..........


เตือนสติอย่างไรดีเมื่อต้องสูญเสีย


ผู้หญิงคนหนึ่งสูญเสียสามีในขณะที่เขากำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่
แพทย์ระบุว่าเกิดจากภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นปกติเฉียบพลัน
ทำให้หมดสติล้มลงหัวฟาดพื้น  เสียเลือดมาก  และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ในขณะที่เธอกำลังโศกเศร้ากับการจากไปของสามี
เพื่อนสนิทคนหนึ่งได้กล่าวปลอบเธอว่า
"อย่าเสียใจไปเลย  ดีแล้วที่ไม่เกิดอะไรเลวร้ายไปกว่านี้
ลองคิดดูสิ  ถ้าสามีของเธอเกิดภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นปกติ
แล้วหมดสติตอนที่ขับรถพาลูกไปโรงเรียน  อะไรจะเกิดขึ้น"

จากคำพูดของเพื่อน  ทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้
"จริงด้วย  อย่างน้อยลูกของฉันก็ยังอยู่
โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายกว่านี้"
ทำให้เธอคลายความเศร้าไปได้

หลังจากนั้น  ทุกครั้งที่เธอประสบกับปัญหา
ก็มักจะเตือนตัวเองว่า
"โชคดีนะที่มันไม่เลวร้ายไปกว่านี้"

คุณเคยใช้วิธีปลอบใจตัวเองเช่นนี้บ้างไหม
.....


ในสมัยพุทธกาล  ลูกสาวเศรษฐีคนหนึ่งชอบพอกับทาสที่อยู่ในเรือนของตน
จึงพากันหลบหนีไปอยู่กินด้วยกันที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในชนบท

ต่อมา  เธอตั้งครรภ์  จึงกลับไปคลอดที่บ้านพ่อแม่  เพราะคิดว่าจะปลอดภัยกว่า
แต่ระหว่างทางที่ต้องเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง  เธอปวดท้องคลอดขึ้นมา
และในที่สุด  เธอก็คลอดลูกออกมาในป่าแห่งนั้น
เมื่อไม่มีกิจที่จะต้องไปคลอดที่บ้านพ่อแม่แล้ว  จึงกลับไปอยู่ที่ชนบทตามเดิม

ต่อมา  เธอตั้งครรภ์ลูกคนที่ ๒  จึงเดินทางกลับไปบ้านพ่อแม่เศรษฐีอีก
ครั้งนี้เกิดฝนตกหนักผิดฤดู  ฝนตกไม่หยุด  ฟ้าร้องดังลั่น
สามีของเธอจึงไปตัดพุ่มไม้ใหญ่เพื่อมาทำที่หลบฝนให้  แต่กลับถูกงูกัดตาย

เธอปวดท้องใกล้คลอด  ไม่สามารถหาที่หลบฝนได้
รอสามีก็ไม่กลับมาสักที
เธอต้องคลอดลูกคนที่ ๒ อย่างหนาวเย็นและยากลำบากกลางป่า

รุ่งเช้า  เมื่อฝนหยุด  เธอก็จูงลูกคนโตและอุ้มลูกคนที่ ๒ ออกเดินหาสามี
พบศพสามีนอนตายอยู่  เกิดความเสียใจเป็นอย่างมาก

จากนั้น  เธอพาลูก ๆ เดินทางต่อไป  เจอแม่น้ำสายหนึ่งขวางอยู่ตรงหน้า
เธอไม่สามารถพาลูกข้ามแม่น้ำไปได้พร้อมกันทั้ง ๒ คน
จึงบอกให้ลูกคนโตรออยู่ที่ฝั่งนี้
แล้วอุ้มลูกคนเล็กข้ามไปอีกฝั่ง  ให้นอนบนกองใบไม้
แล้วกลับไปรับลูกคนโต

ในขณะที่อยู่กลางแม่น้ำ
เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นลูกคนเล็กของเธอเหมือนชิ้นเนื้อ  จึงโผบินลงมาโฉบไป
เธอจึงร้องตะโกนยกมือไล่เหยี่ยว  แต่ไม่ทันเสียแล้ว

ลูกคนโตเห็นแม่โบกไม้โบกมือไล่เหยี่ยวและร้องเสียงดัง  คิดว่าแม่เรียกตน
จึงเดินลงไปในแม่น้ำ  ทำให้ถูกกระแสน้ำพัดพาไป

เธอเสียใจมาก  เดินเพ้อไปตลอดทางว่า
"ลูกคนหนึ่งถูกเหยี่ยวโฉบไป  ลูกอีกคนถูกน้ำพัดไป  สามีถูกงูกัดตาย"

ขณะนั้น  เธอพบชายคนหนึ่งเดินมาจากในเมือง
จึงถามถึงข่าวคราวของบ้านเศรษฐีผู้เป็นพ่อแม่ของตน

ชายคนนั้นกล่าวว่า
"เมื่อคืนฝนตกหนัก  ลมพัดแรงมาก  ทำให้บ้านของเศรษฐีล้มพังลงมา
ทั้งเศรษฐีและภรรยา  และทุกคนในบ้าน  ตายกันหมด"

เมื่อฟังจบ  เธอถึงกับเสียสติทันที
.....





ในวันที่เราเจอเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต  ต้องสูญเสียคนที่เรารัก
เราอาจจะสบายใจขึ้นด้วยคำปลอบใจที่ว่า
"โชคดีที่ไม่เกิดเรื่องเลวร้ายมากไปกว่านี้"

แต่ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อีกล่ะ
ถ้าเราต้องสูญเสียคนรักไปอีก  ครั้งแล้วครั้งเล่า  ในเวลาไล่เลี่ยกัน
วิธีปลอบใจดังกล่าวจะทำให้เราสบายใจขึ้นได้อยู่อีกหรือ
.....

ลูกสาวเศรษฐีเมื่อเสียสติ  เดินโซซัดโซเซไปตามทาง
คำปลอบใจที่ว่า  "โชคดีนะที่มันไม่เลวร้ายไปกว่านี้"  คงใช้กับเธอไม่ได้
เพราะเธอสูญเสียคนรักไปทั้งหมดแล้ว
มันคือเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดแล้วสำหรับเธอ

แต่ด้วยบุญญาธิการที่เธอเคยสั่งสมมาในอดีตชาติ
ทำให้เธอเดินไปจนพบพระพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเตือนสติเธอว่า
"น้ำตาที่ไหลเพราะความทุกข์ในวัฏสงสารอันยาวนานนี้
มีมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ เสียอีก
เธอยังจะประมาทอยู่อีกหรือ"

แล้วตรัสสอนอื่น ๆ อีก  จนเธอได้ขอบวช  และบรรลุพระอรหันต์ในที่สุด
(อ่านเพิ่มเติมได้ในเรื่องปฏาจาราเถรีวัตถุ)
.....

การมองโลกตามความเป็นจริง  ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ที่จะช่วยให้เราคลายจากความทุกข์ได้จริง

"สัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นธรรมดา  ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้"

"เมื่อความตายมาถึง
สิ่งไร ๆ ไม่ว่าบิดามารดา  สามีภรรยา  บุตรธิดา  ทรัพย์สินเงินทอง  ก็ต้านทานไว้ไม่ได้"

"สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน  เป็นผู้รับผลของกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด  มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ใครทำกรรมใดไว้  จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม  ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น"

ถ้าเราสามารถเห็นจริงและทำใจให้ยอมรับได้ตามความเป็นจริงเช่นนี้
เราก็จะไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น
และไม่จำเป็นที่จะต้องหาวิธีปลอบใจใด ๆ มาใช้อีกเลย

ฉะนั้น  การศึกษาพระธรรมจนเกิดปัญญาเห็นจริงตามพระธรรมนั้น
จึงเป็นสิ่งสำคัญและมีค่ายิ่ง  เพราะทำให้เราหมดทุกข์ได้อย่างแท้จริง

ขอให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ
..........


คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. ปฏาจาราเถรีวัตถุ (เรื่องพระปฏาจาราเถรี)