เมื่อกรรมชั่วให้ผล คุณมี ๒ ทางเลือก


องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำ
เป็นอยู่อย่างฝืดเคือง  หากินลำบาก  (ในปุคคลสูตร)
ว่าเป็นบุคคลที่  "มืดมา"  หรือบุคคลที่  "ต่ำมา"

ถ้าเราต้องเกิดมาอยู่ในฐานะเช่นนี้  เราจะทำอย่างไร
.....


ในสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน
มีพระอรหันต์รูปหนึ่งจาริกไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ผู้ใหญ่บ้านเลื่อมใสในอิริยาบถของท่าน  จึงนิมนต์ให้ไปพักที่วัดประจำหมู่บ้าน

พระเถระเจ้าอาวาสทำการต้อนรับปฏิสันถารแล้ว  จึงพาไปยังกุฎิที่พัก

ตอนเย็นวันนั้นเอง
ผู้ใหญ่บ้านชักชวนคนในหมู่บ้านเข้าไปฟังธรรมจากพระอาคันตุกะจนถึงค่ำ
แล้วนิมนต์พระทั้ง ๒ รูปให้ไปรับภัตตาหารในหมู่บ้านในวันรุ่งขึ้น

เจ้าอาวาสเห็นอาการที่ชาวบ้านเลื่อมใสในพระอาคันตุกะ  เกิดความไม่พอใจ
จึงไม่พูดจาปราศรัยด้วย
พระรูปนั้นกำหนดรู้ความคิดของเจ้าอาวาสแล้ว  ไม่มีความอาลัยใด ๆ  จึงจากไป

วันรุ่งขึ้น  เจ้าอาวาสลุกขึ้นตีระฆังด้วยหลังเล็บ  เคาะประตูกุฏิด้วยปลายเล็บ
แล้วรีบออกบิณฑบาต

เมื่อชาวบ้านถามหาพระอาคันตุกะ  เพราะไม่เห็นมาบิณฑบาตด้วย
เจ้าอาวาสกล่าวว่า  "อาตมาตีระฆังก็แล้ว  เคาะประตูก็แล้ว  พระรูปนั้นก็ยังไม่ตื่น
เมื่อวานคงจะฉันอาหารอย่างดีที่โยมถวาย  แล้วหลับสบายอยู่ถึงตอนนี้"

ชาวบ้านฟังแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร  ถวายอาหารให้เจ้าอาวาส
แล้วฝากอาหารอีกส่วนหนึ่งไปให้พระอาคันตุกะด้วย

ในขณะที่กำลังกลับวัด  เจ้าอาวาสคิดว่า
"ถ้าพระอาคันตุกะได้ฉันอาหารดี ๆ อย่างนี้  คงไม่ยอมไปจากวัดแน่ ๆ"
จึงทิ้งอาหารนั้นในระหว่างทาง

แต่เมื่อกลับถึงวัด  ก็ไม่เห็นพระอาคันตุกะนั้นแล้ว
จึงคิดได้ว่า  "ชะรอยพระรูปนั้นคงจะเป็นพระอรหันต์  รู้ความคิดของเรา  จึงจากไปแล้ว
โอหนอ  เพราะท้องเป็นเหตุ  เราทำกรรมหนักแล้วหนอ"

หลังจากตายในชาตินั้น  จึงไปเกิดในนรกอยู่หลายแสนปี

และด้วยเศษกรรมที่ยังมีอยู่
ทำให้ไปเกิดเป็นยักษ์อีก ๕๐๐ ชาติ
ได้กินอาหารเต็มท้องเพียงแค่วันเดียวคือวันที่จะตาย
นอกนั้น  ไม่เคยได้กินอาหารเต็มท้องเลย

จากนั้น  ไปเกิดเป็นสุนัขอีก ๕๐๐ ชาติ
ก็ได้กินอาหารเต็มท้องเพียงวันเดียว
นอกนั้น  ไม่เคยได้กินอาหารเต็มท้องเช่นกัน

จากนั้น  ก็เวียนว่ายตายเกิดไปอีกตลอด ๑ พุทธันดร
จนมาถึงชาติสุดท้ายนี้  ได้มาเกิดเป็นคน  แต่ก็เกิดในตระกูลยากจน
ตั้งแต่วันที่เขาเกิด  ครอบครัวนั้นก็ยากจนหนักลงไปอีก
จึงถูกไล่ออกจากบ้านตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

ต่อมา  มีโอกาสได้บวชเป็นพระ  แต่อกุศลกรรมก็ยังให้ผลไม่หมด
ชาวบ้านใส่บาตรให้ ๑ ทัพพี  ก็ปรากฏเหมือนมีข้าวเต็มบาตรแล้ว
คนอื่นจึงไม่ได้ใส่บาตรให้อีก
ทำให้ท่านไม่เคยได้ฉันเต็มท้องเลยแม้สักครั้งเดียว
.....


(ขอบคุณภาพจาก pixabay.com)


ต่อให้มีผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากเพียงใด
ต่อให้มีลาภสักการะในพระพุทธศาสนามากเพียงใด
แต่เมื่ออกุศลกรรมให้ผล  แม้อาหารพอฉันอิ่มท้องก็ยังหาไม่ได้เลย

พระรูปนี้  แม้จะไม่สามารถหาบิณฑบาตฉันได้อิ่มท้อง
แต่ก็มุ่งมั่นเจริญวิปัสสนา  จนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

แต่ถึงกระนั้น  ท่านก็ยังเป็นผู้มีลาภน้อยอยู่นั่นเอง

วันหนึ่ง  พระสารีบุตรปรารถนาจะให้ท่านได้ฉันเต็มอิ่มสักวัน
จึงชักชวนไปบิณฑบาตด้วยกัน
แต่ก็ไม่ได้แม้การยกมือไหว้จากชาวบ้าน

พระสารีบุตรจึงให้ท่านรออยู่ที่วัด  แล้วไปบิณฑบาตเอง
เมื่อได้อาหาร  ก็ฝากชายคนหนึ่งนำไปให้ท่านที่วัด
แต่ชายคนนั้นก็ลืม  แล้วนำอาหารนั้นไปกินเสียเอง

พระสารีบุตรจึงไปบิณฑบาตในพระราชวัง
เมื่อได้อาหาร  จึงนำไปให้ท่านฉัน
แต่พระสารีบุตรต้องเป็นผู้ถือบาตรนั้นไว้ให้ในขณะที่พระรูปนั้นฉัน
เพราะไม่เช่นนั้น  อาหารในบาตรก็จะหายไป

วันนั้นเป็นวันแรกและวันเดียวที่ท่านได้ฉันอิ่มท้อง
และเป็นวันที่ท่านปรินิพพาน  ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
.....
(อ่านเพิ่มเติมได้ในโลสกชาดก)


ไม่ว่าจะเคยทำอกุศลกรรมอะไรไว้ในอดีตก็ตาม
เมื่ออกุศลกรรมนั้นให้ผล
ทำให้เกิดมาอยู่ในฐานะยากจน  หากินลำบาก
หรือมีปัญหาอุปสรรคในชีวิตอย่างใดก็ตาม
ทุกคนมีทางเลือก ๒ ทาง

ทางเลือกที่ ๑
อ้างเหตุแห่งความลำบากบีบคั้น  อ้างว่ามีความจำเป็น  อ้างว่าไม่มีทางเลือกอื่น
จึงตัดสินใจทำอกุศลกรรม  ประพฤติกายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริต

ทางเลือกที่ ๒
ตระหนักว่าที่ต้องลำบาก  ไม่มีความสุขสบาย  เป็นเพราะเคยทำกรรมไม่ดีมาก่อน
จึงตัดสินใจละเว้นกรรมที่ไม่ดีทั้งหมด
แล้วทำแต่กุศลกรรม  ประพฤติกายสุจริต  วจีสุจริต  มโนสุจริตเท่านั้น
.....


กรรมเก่าที่เป็นอกุศลที่เราเคยทำไว้
ที่ทำให้เราเป็นผู้  "มืดมา"  หรือ  "ต่ำมา"
ไม่มีใครสามารถกลับไปแก้ไขได้

แต่กรรมใหม่ที่เราจะทำ
เราจะเลือกทำกรรมที่เป็นกุศล  หรือกรรมที่เป็นอกุศล

ถ้าเราเลือกที่จะทำกรรมที่เป็นกุศล
เราก็จะได้รับผลของกรรมนั้นในทางที่ดี
จะเป็นบุคคลที่  "สว่างไป"  หรือ  "สูงไป"  ได้

แต่ถ้าเราเลือกทำกรรมที่เป็นอกุศลอีก
เราก็จะได้รับผลของกรรมที่ไม่ดีนั้นอีก
จะเป็นบุคคลที่  "มืดไป"  หรือ  "ต่ำไป"  อีกยาวนาน

ฉะนั้น  แม้เราจะพลาดพลั้งมาในอดีต
ทำให้ปัจจุบันเป็นผู้ที่มืดมาก็ตาม
แต่ในอนาคต  เราจะเป็นผู้ที่สว่างไป  หรือมืดไป
ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรานั่นเอง

ถึงตอนนี้  ตัดสินใจได้ไหมว่าเราจะเลือกกระทำอย่างไร
..........


คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. ปุคคลสูตร (ว่าด้วยบุคคล ๔ ประเภท)
๒. โลสกชาดก (ว่าด้วยคนโลเลต้องเศร้าโศก)


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น