คำแนะนำของเทวดาพาล


ชายคนหนึ่งชื่อสุทัตตะ  เป็นเศรษฐีอยู่ในกรุงสาวัตถี
ครั้งหนึ่ง  เขามีโอกาสได้ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เกิดความศรัทธาเลื่อมใส
จึงได้สร้างวัดเชตวันถวายด้วยเงิน ๕๔ โกฏิ
แล้วได้ไปที่วัด  ถวายทาน  รักษาศีล  เป็นอยู่อย่างนี้ทุก ๆ วัน

และด้วยเหตุที่เศรษฐีผู้นี้ชอบให้อาหารแก่คนอนาถาอยู่เป็นประจำ
จึงได้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า  "อนาถบิณฑิกเศรษฐี"

ที่ซุ้มประตูเรือนของเศรษฐี  มีเทวดาอาศัยอยู่องค์หนึ่ง
เทวดาองค์นี้ไม่ได้ยินดีในการให้ทานของเศรษฐี
เพราะเมื่อพระพุทธเจ้าและพระสาวกรับนิมนต์มารับภัตตาหารที่เรือนของเศรษฐี
เทวดาก็ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ในวิมานที่สูงกว่าได้  ต้องลงมาที่พื้นดินทุกครั้ง

เทวดาองค์นี้พยายามหาอุบาย
ที่จะให้เศรษฐีเลิกทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าและพระสาวกมาที่เรือน
แต่ก็ยังไม่มีโอกาส

จนกระทั่งครั้งหนึ่ง
เศรษฐีถึงคราวตกอับ  ค้าขายลำบาก  ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ก็ลดน้อยลง
อาหารการกินและข้าวของเครื่องใช้ของเศรษฐีก็ไม่ใช่ของดีเหมือนที่ผ่านมา
แต่ถึงกระนั้น  เศรษฐีก็ยังถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์อยู่เป็นประจำเหมือนเดิม

เทวดาองค์นั้นเห็นเศรษฐีตกอับอย่างนี้  จึงปรากฏกายให้เศรษฐีเห็น
แล้วกล่าวว่า  "ข้าพเจ้าเป็นเทวดา  สถิตอยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของท่าน"

เศรษฐีถามว่า  "ท่านปรากฏกายมาหาข้าพเจ้า  มีเรื่องอะไรหรือ"

เทวดากล่าวว่า  "เรามาเพื่อต้องการเตือนท่าน
เมื่อก่อน  ท่านได้ฟุ่มเฟือยจ่ายทรัพย์เป็นอันมากในพระพุทธศาสนา
บัดนี้  ฐานะของท่านยากจนลงแล้ว
ถ้าท่านยังไม่หยุดทำบุญให้ทานอีก
อีกไม่เกิน ๓ วัน  ท่านก็จะไม่เหลืออะไรเลย
ท่านจงเลิกให้ทาน  แล้วทำการงาน  เก็บรวบรวมเงินทองเถิด"
.....


ลองนึกภาพว่า  ถ้าเราเป็นเศรษฐี  อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
เคยทำบุญให้ทานมาโดยตลอด
อยู่มาวันหนึ่ง  เกิดเหตุการณ์ข้าวยากหมากแพง  เศรษฐกิจย่ำแย่
ทำให้ฐานะยากจนลง  ต้องอยู่อย่างลำบากฝืดเคือง
ถามว่า  เราจะเลิกทำบุญให้ทานหรือไม่

ถ้าเราไม่เคยเห็นเทวดามาก่อน
เมื่อมีเทวดามาปรากฏกายให้เห็น  ยืนอยู่ตรงหน้าชัด ๆ
แล้วยังแนะนำให้เราเลิกทำบุญให้ทาน  ให้เก็บเงินเก็บทองไว้  เพื่อจะได้ไม่ลำบาก
ถามว่า  เราจะเชื่อเทวดาที่อยู่ตรงหน้านั้นหรือไม่
.....





คำตอบของคำถามนี้
ขึ้นอยู่กับเจตนาในการให้ทานของเรา

ที่ผ่านมา  ถ้าเรามีเจตนาในการทำบุญให้ทาน  เพื่อละความตระหนี่ที่มีอยู่ในใจ

และเพื่อเกื้อกูลอนุเคราะห์ผู้อื่น
เราก็จะมีความยินดีในการให้  และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ให้
ต่อให้มีเทวดาหรือใครก็ตาม  มาบอกให้เราเลิกให้ทาน
เราก็จะไม่เชื่อ  และจะยังคงทำบุญให้ทานต่อไป

แต่ถ้าเราให้ทานโดยมีจุดประสงค์อื่น
ให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งบางอย่าง
เช่น
ทำบุญถวายหลอดไฟ  เพราะคิดว่าจะได้มีชีวิตที่สว่างสดใส
ทำบุญถวายมีดโกน  เพราะคิดว่าจะได้ช่วยตัดขาดคนที่คิดร้ายออกจากชีวิต
ทำบุญถวายร่ม  เพราะคิดว่าจะได้มีสิ่งที่คอยป้องกันอันตราย
ฯลฯ
ถ้าให้แล้ว  ชีวิตไม่เป็นไปตามที่คิด  ยังคงมีปัญหาอุปสรรคเข้ามา
เมื่อมีเทวดาหรือใครมาบอกวิธีการอื่น ๆ
เราก็พร้อมที่จะเชื่อและทำตามโดยไม่ลังเล
.....


อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้ที่ได้ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว
ผ่านการพิจารณาใคร่ครวญในธรรมที่ได้ฟังมาเป็นอย่างดี
มีความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธศาสนา
จึงไม่เชื่อคำแนะนำของเทวดานั้น

ยิ่งไปกว่านั้น  ยังช่วยให้เทวดานั้นได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า
จนเกิดความเลื่อมใส  และได้บรรลุเป็นอริยบุคคลอีกด้วย
(อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ในอนาถปิณฑิกเสฏฐิวัตถุ)
.....


ทีนี้  ลองกลับมาพิจารณาดูตัวเราเองอีกครั้ง
ที่ผ่านมา  เราทำบุญให้ทานเพื่ออะไร
และจะมีอะไรมาหยุดการทำบุญให้ทานของเราได้หรือไม่
..........



คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น