การทำบุญให้ทาน ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย
แต่สำหรับคนที่ยังมีความตระหนี่เหนียวแน่นอยู่ในใจ การให้ทานไม่ใช่ทำได้ง่ายเลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัส (ในทานสูตร) ถึงเรื่องทานที่ประกอบด้วยองค์ ๖ ประการ คือ
องค์ประกอบฝ่ายทายก (ผู้ให้) ได้แก่
๑. ก่อนให้ ก็มีใจดี
๒. กำลังให้ ก็ทำจิตให้เลื่อมใส
๓. ครั้นให้แล้ว ก็มีใจเบิกบาน
และ
องค์ประกอบฝ่ายปฏิคาหก (ผู้รับ) ได้แก่
๑. เป็นผู้ปราศจากราคะ หรือปฏิบัติเพื่อกำจัดราคะ
๒. เป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพื่อกำจัดโทสะ
๓. เป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฏิบัติเพื่อกำจัดโมหะ
การให้ทานที่ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้ เป็นทักษิณาที่มีอานิสงส์มาก
การจะประมาณบุญแห่งทักษิณาอันประกอบด้วยองค์ ๖ นี้ว่า
‘จะมีห้วงบุญห้วงกุศลเกิดขึ้นประมาณเท่านี้ นำความสุขมาให้ มีอารมณ์ดีเลิศ มีวิบากเป็นสุข เป็นไปเพื่อสวรรค์ เป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ’ มิใช่จะประมาณกันได้ง่าย
แท้จริง ห้วงบุญห้วงกุศลแห่งทักษิณานั้นถึงการนับว่า ‘เป็นกองบุญใหญ่ที่นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้’
เราไม่สามารถที่จะล่วงรู้ได้หรอกว่าใครเป็นผู้หมดกิเลสแล้ว หรือกำลังเพียรปฏิบัติเพื่อความหมดกิเลสอยู่
เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่บอกต่อ ๆ กันมาว่าพระรูปนั้นรูปนี้ปฏิบัติดี เข้าฌานได้ เคร่ง น่าเลื่อมใส ฯลฯ
หรือแม้อาจจะเคยได้พบกับพระรูปนั้นรูปนี้มาเองก็ตาม
แต่ระดับคุณธรรมในใจของแต่ละคน เป็นสิ่งที่รู้กันได้ยาก เพราะสิ่งเหล่านี้จะพึงรู้ได้ต้องใช้เวลา ไม่ใช่ดูกันเพียงชั่วคราว ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจรู้ไม่ได้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่มีปัญญารู้ไม่ได้
ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมจัดการไม่ได้
แต่เราสามารถควบคุมจัดการปัจจัยภายในได้ ซึ่งก็คือตัวเราเอง
เราสามารถสร้างองค์ประกอบแห่งทักษิณาที่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก (ผู้ให้) ให้เกิดขึ้นได้
เราสามารถทำใจของเราเองให้มีความยินดีในการให้ ทั้งก่อนให้ ขณะที่กำลังให้ และหลังจากให้แล้ว
ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องเริ่มที่การละความความตระหนี่ที่มีอยู่ในใจของเราให้ได้เสียก่อน
(ขอบคุณภาพจาก pixabay.com)
จูเฬกสาฎกวัตถุ (เรื่องพราหมณ์จูเฬกสาฎก)
สมัยนั้น มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อจูเฬกสาฎก อาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถีนั้น
พราหมณ์ผู้นี้เป็นคนยากจน มีผ้าสาฎกสำหรับนุ่งเพียงผืนเดียว แม้นางพราหมณีก็มีผ้าสาฎกสำหรับนุ่งเพียงผืนเดียวเช่นกัน
ทั้ง ๒ คนมีผ้าสาฎกสำหรับห่มคลุมร่างกายร่วมกัน ๑ ผืน ใช้สำหรับห่มเมื่อออกไปนอกเรือน
วันหนึ่ง เมื่อชาวกรุงสาวัตถีป่าวประกาศเชิญชวนฟังธรรมในพระวิหารเชตวัน
พราหมณ์กล่าวกับภรรยาว่า "นางผู้เจริญ เขาประกาศการฟังธรรมในวันนี้ เราทั้งสองไม่อาจไปพร้อมกันได้ เพราะมีผ้าสำหรับห่มเพียงผืนเดียว เจ้าจะไปฟังธรรมในตอนกลางวันหรือกลางคืน"
นางพราหมณีตอบว่า "นาย ฉันจะไปตอนกลางวัน"
แล้วนางพราหมณีก็ห่มผ้าสาฎกนั้นไปฟังธรรม
ตกกลางคืน พราหมณ์ได้ไปฟังธรรมที่วิหารบ้าง เขานั่งฟังธรรมอยู่เฉพาะพระพักตร์พระศาสดา
เมื่อฟังธรรมแล้ว เกิดความศรัทธาในพระศาสดา มีปีติซาบซ่านเกิดขึ้น
เขาอยากจะบูชาพระศาสดา แต่มองไม่เห็นสิ่งใดที่จะถวายบูชาพระศาสดาได้ มีเพียงผ้าสาฎกที่ห่มมาเท่านั้น เขาจึงคิดจะถวายผ้าสาฎกผืนนั้นแด่พระศาสดาด้วยความศรัทธา
ขณะนั้นเอง เมื่อเขาคิดว่าจะถวาย ก็เกิดมีความคิดขึ้นมาอีกว่า "ถ้าเราถวายผ้าสาฎกผืนนี้แล้ว ผ้าห่มของนางพราหมณีก็จะไม่มี ของเราก็จะไม่มี"
จิตที่ประกอบด้วยความตระหนี่เกิดขึ้นครอบงำจิตที่ประกอบด้วยศรัทธาของเขา
เมื่อเขาคิดจะถวายด้วยความศรัทธาอีก ความตระหนี่ก็เกิดขึ้นครอบงำความคิดนั้นอีก
เขาปล่อยให้ความคิดว่า "จะถวาย" หรือ "จะไม่ถวาย" เกิดขึ้นไป ๆ มา ๆ อยู่อย่างนั้น จนล่วงเวลาปฐมยาม
แม้ในมิชฌิมยาม จิตที่ประกอบด้วยความตระหนี่ก็ยังครอบงำจิตที่มีศรัทธาของเขาอยู่
เขาก็ยังไม่อาจถวายผ้าสาฎกในมัชฌิมยามได้
เมื่อถึงปัจฉิมยาม เขาคิดว่า "เมื่อเรารบกับศรัทธาจิตและความตระหนี่อยู่นั่นแหละ เวลาได้ล่วงมาถึงปัจฉิมยามนี้แล้ว ถ้าเราปล่อยให้ความตระหนี่มีกำลังครอบงำเราอยู่ เราคงไม่สามารถทำเหตุปัจจัยให้พ้นจากอบายได้ เราจะถวายผ้าสาฎกนี้ล่ะ"
พราหมณ์นั้นข่มความตระหนี่ที่เกิดขึ้นได้แล้ว ทำความศรัทธาให้ตั้งมั่น แล้วนำผ้าสาฎกนั้นไปถวายแทบบาทมูลของพระศาสดา
เมื่อเขาทำการน้อมถวายแล้ว ได้เปล่งเสียงดังขึ้น ๓ ครั้งว่า "เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว"
(ถามว่า ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพราหมณ์ ฐานะยากจนมาก มีผ้าเพียงแค่ผืนเดียว
เราจะทำกำลังใจได้อย่างพราหมณ์ผู้นี้ไหม
หรือเราจะพ่ายแพ้ต่อเหตุผลของความตระหนี่
ทำไมพราหมณ์จึงทำได้ขนาดนั้น
หยุดคิดคำตอบสักนิด แล้วค่อยอ่านต่อ)
ในขณะนั้นเอง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกำลังฟังธรรมอยู่ในพระวิหารเชตวันนั้นด้วย ได้สดับเสียงพราหมณ์ประกาศเช่นนั้น จึงให้ราชบุรุษไปสอบถามพราหมณ์นั้น
เมื่อพระราชาทรงทราบเรื่องราวแล้ว ทรงดำริว่า "พราหมณ์ผู้นี้ทำสิ่งที่บุคคลทำได้ยาก"
แล้วจึงได้พระราชทานผ้าสาฎกให้พราหมณ์ ๑ คู่
พราหมณ์เมื่อได้รับพระราชทานผ้าจากพระราชา ก็มีใจยินดี ได้ถวายผ้าคู่นั้นแด่พระศาสดาอีก
พระราชาทรงทราบ ก็รับสั่งให้พระราชทานผ้าสาฎกให้พราหมณ์อีกเป็นทวีคูณ คือ ๒ คู่ ๔ คู่ ๘ คู่ ๑๖ คู่
พราหมณ์ก็ถวายผ้าสาฎกเหล่านั้นแด่พระศาสดาด้วยความศรัทธาอีก
เมื่อพระราชาพระราชทานผ้าสาฎกให้พราหมณ์อีกเป็น ๓๒ คู่
พราหมณ์คิดว่า "ถ้าเราถวายพระศาสดาอีก พระราชาก็คงพระราชทานให้แก่เราอีก ผู้คนก็อาจจะตำหนิได้"
เขาจึงเก็บผ้าสาฎกไว้ ๒ คู่ (สำหรับตนเอง ๑ คู่ และสำหรับนางพราหมณี ๑ คู่) แล้วได้น้อมถวายผ้าสาฎกที่เหลือทั้ง ๓๐ คู่แด่พระศาสดา
พระราชารับสั่งกับราชบุรุษว่า "ท่านทั้งหลาย พราหมณ์ผู้นี้ทำสิ่งที่ทำได้ยาก ท่านทั้งหลายจงไปนำเอาผ้ากัมพลเนื้อดี ๒ ผืนจากในวังของเรามา" แล้วพระราชทานให้แก่พราหมณ์นั้น
พราหมณ์คิดว่า "สรีระของเราไม่สมควรกับผ้ากัมพลเนื้อดีเหล่านี้ ผ้าเหล่านี้ควรแก่พระพุทธศาสนาเท่านั้น"
เขาจึงได้ขึงผ้ากัมพลผืนหนึ่งทำให้เป็นเพดานเบื้องบนที่บรรทมของพระศาสดาภายในพระกุฏิ
อีกผืนหนึ่งขึงเป็นเพดานในที่สำหรับให้ภิกษุมาฉันภัตตาหารในเรือนของตน
ต่อมาภายหลัง เมื่อพระราชาเสด็จไปสู่พระกุฏิของพระศาสดา ทอดพระเนตรเห็นผ้ากัมพลที่ขึงอยู่ ทรงจำได้ ทรงดำริว่า "พราหมณ์ผู้นี้เลื่อมใสในฐานะที่เราเลื่อมใสเหมือนกัน"
จึงรับสั่งให้พระราชทานวัตถุอย่างละ ๔ แก่พราหมณ์นั้น คือ ช้าง ๔ ม้า ๔ เงิน ๔๐๐๐ สตรี ๔ ทาสี ๔ บุรุษ ๔ บ้านส่วย ๔ ตำบล จนถึงวัตถุทั้งหมด ๑๐๐ อย่าง
ภิกษุทั้งหลายเมื่อทราบเรื่อง ก็สนทนากันว่า "กรรมของพราหมณ์ชื่อจูเฬกสาฎกนี้น่าอัศจรรย์ ชั่วครู่เดียวเท่านั้น เขาได้หมวด ๔ แห่งวัตถุทุกอย่าง กรรมอันงามที่เขาทำในเนื้อนาบุญให้ผลในวันนี้เอง"
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่าสนทนาอะไรกัน แล้วตรัสว่า
"ถ้าพราหมณ์สามารถถวายแก่เราในปฐมยาม เขาจะได้วัตถุอย่างละ ๑๖
ถ้าเขาสามารถถวายแก่เราในมัชฌิมยาม เขาจะได้วัตถุอย่างละ ๘
แต่เพราะเขาถวายในเวลาจวนใกล้รุ่ง เขาจึงได้วัตถุอย่างละ ๔
แท้จริงแล้ว บุคคลเมื่อกระทำกรรมอันงาม ไม่ควรให้กุศลจิตที่เกิดขึ้นนั้นเสื่อมเสียไป
ควรทำในทันทีนั้นเอง
ด้วยว่ากุศลที่บุคคลทำช้า เมื่อให้ผล ย่อมให้ช้าเหมือนกัน
ฉะนั้น พึงกระทำกรรมงามในทันทีที่เกิดความคิดนั้นเทียว"
จากนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปอีกว่า
"บุคคลควรรีบเร่งทำบุญ ควรห้ามจิตจากบาป
เพราะเมื่อทำบุญช้าไป ใจจะยินดีในบาป"
ในเวลาจบพระธรรมเทศนานี้ ภิกษุเหล่านั้นก็บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้มาประชุมกันแล้ว ดังนี้แล
จูเฬกสาฎกวัตถุ จบ
ถ้าพราหมณ์ยอมจำนนให้กับเหตุผลของความตระหนี่ ไม่สามารถเอาชนะความตระหนี่ได้
เขาจะละความโลภที่มีอยู่ในใจได้ไหม
เขาจะได้ถวายทานไหม
เขาจะสร้างเหตุปัจจัยให้พ้นจากอบายได้ไหม
เมื่อพราหมณ์เอาชนะความตระหนี่ในใจได้ เขาจึงประกาศอย่างองอาจว่า "เราชนะแล้ว"
เป็นผู้ที่สามารถเอาชนะความตระหนี่ของตนเองได้แล้ว
เป็นผู้ยินดีที่จะให้ (ถวายด้วยความศรัทธา ไม่ใช่ถวายเพื่อหวังผลนั่นผลนี่)
ฉะนั้น ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นคนรวยหรือคนจน
ไม่สำคัญว่าเราจะมีของให้ทานได้มากหรือมีของให้ทานได้น้อย
สิ่งของที่จะให้นั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ .....
แต่สิ่งสำคัญคือ เราเอาชนะความตระหนี่ที่มีอยู่ในใจได้หรือไม่
เมื่อใดก็ตามที่เราเอาชนะความตระหนี่ที่มีอยู่ในใจได้
เมื่อนั้น ความยินดีในการให้ก็จะเกิดขึ้น ทั้งก่อนให้ ขณะให้ หลังให้
ได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่สร้างองค์ประกอบแห่งทักษิณาฝ่ายทายก (ผู้ให้) ให้บริสุทธิ์แล้ว
ห้วงบุญห้วงกุศลอันนำความสุขมาให้ ก็จะเกิดตามมาเอง .....
คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. ทานสูตร (ว่าด้วยองค์แห่งทักษิณาทาน)