จากพุทธภาษิตที่ว่า
"การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง"
เมื่อหลายคนได้รู้อย่างนี้ ก็อยากให้ธรรมเป็นทานบ้าง
เพราะเป็นการให้ที่ดีที่สุดยิ่งกว่าการให้ทานอย่างอื่น
และเมื่อมีผู้อื่นบอกต่อ ๆ กันมาว่า
อานิสงส์ของธรรมทานมีตั้งหลายอย่าง
เช่น
- กรรมเวรจากอดีตชาติจะได้ลบล้างให้สิ้น
- หนี้เวรจะได้คลี่คลาย พ้นภัยจากทะเลทุกข์
- ความเป็นสิริมงคลจะมาสู่ทุกบ้านเรือน
- บุตรหลานที่พาลเกเรจะกลับตัวเป็นคนดี
- วงศ์สกุลจะมีผู้สืบทอดและเจริญรุ่งเรืองทุก ๆ ชั่วอายุ
- คิดจะทำการอันใดจะมีคนให้ความช่วยเหลือ
- ขจัดเคราะห์ภัย ภัยใหญ่จะกลายเป็นภัยเล็ก
- คนป่วยเรื้อรังจะหายจากโรคภัย
- วิญญาณทุกข์ของบรรพชนจะพ้นจากทุกข์ทรมานไปสู่สุคติ
- เป็นบารมีคุ้มครองลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข
- สามีภรรยาที่แตกแยกจะคืนดีต่อกัน
- วิญญาณของเด็กที่แท้งในท้องจะได้ไปเกิดใหม่
- บุตรจะเฉลียวฉลาดและเจริญรุ่งเรือง
- พ่อแม่จะมีอายุยืน
- บังเกิดบุญวาสนาและให้มีอายุยืนยาว
- ได้เสริมสร้างและเจริญเมตตาธรรม
- คิดหาวิธีที่จะทำให้ตนและผู้อื่นพ้นทุกข์ได้
- ไม่เกิดในอบายภูมิ (นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน)
ฯลฯ
(รวบรวมจากเว็บไซต์และหนังสือธรรมะแจกฟรีหลายแห่ง)
เมื่อเห็นอานิสงส์ (ที่เขาบอกต่อ ๆ กันมา) มากมายอย่างนี้
เหมือนจะยืนยันว่าธรรมทานชนะการให้ทั้งปวงแน่ ๆ
ก็จะยิ่งเพิ่มความอยากที่จะให้ธรรมเป็นทานกับเขาบ้าง
.....
แต่อานิสงส์ที่บอกต่อกันมานั้น อ้างอิงมาจากไหน
และแตกต่างจากอานิสงส์ในการให้ทานชนิดอื่นอย่างไร
เพราะดูโดยรวมแล้ว อานิสงส์ที่กล่าวอ้างมานั้น
บางอย่างก็เหมือนกับอานิสงส์ของการไถ่ชีวิตสัตว์
(ที่อ้างว่าทำให้อายุยืน)
บางอย่างก็เหมือนกับอานิสงส์ของการถวายยารักษาโรค
(ที่อ้างว่าทำให้หายเจ็บป่วย)
บางอย่างก็เหมือนกับอานิสงส์ของการถวายเทียนคู่
(ที่อ้างว่าทำให้ชีวิตคู่ไม่แตกแยก)
บางอย่างก็เหมือนกับอานิสงส์ของการถวายกระเบื้องมุงหลังคา
(ที่อ้างว่าทำให้ชีวิตร่มเย็น)
เป็นต้น
ถ้าอานิสงส์ของการให้ธรรมเป็นทาน ไม่แตกต่างกับอานิสงส์ของการให้ทานอย่างอื่น
แล้วการให้ธรรมเป็นทาน จะชนะการให้ทั้งปวงได้อย่างไร
.....
เมื่อพิจารณาเช่นนี้แล้ว
การให้ธรรมเป็นทาน จึงไม่ได้ชนะการให้ทั้งปวงด้วยเพราะเหตุที่อ้างมานี้
แล้วสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ "การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง"
เป็นอย่างไรกันแน่
ในอรรถกถาเรื่องท้าวสักกเทวราช มีกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ สรุปความว่า
บุคคลแม้จะนำผ้าไตรจีวรเนื้อละเอียด อาหารบิณฑบาตรอันประณีต ยารักษาโรคอย่างดี กุฏิวิหารอันงดงามวิจิตรเพียงใด
มาถวายแด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายผู้นั่งติด ๆ กันในจักรวาลตลอดถึงพรหมโลกก็ตาม
ทานอันประณีตและมากมายแม้นี้ ก็ยังมีค่าไม่ถึงเศษเสี้ยวของการที่พระพุทธเจ้าเป็นต้น ทรงกระทำอนุโมทนาแสดงธรรม
เพราะผู้ที่จะยินดีในการถวายทานอันประณีตและมากมายเห็นปานนั้นได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังธรรมมาแล้ว เห็นถึงอานิสงส์ของทาน จึงยินดีในการให้ได้
แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรม แม้ข้าวเพียงทัพพีหนึ่งก็ไม่ยินดีที่จะให้
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลใดที่แม้จะมีปัญญาฉลาดหลักแหลม
แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บุคคลนั้นก็ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมได้ด้วยตนเอง
เหมือนพระสารีบุตรบรรลุโสดาบันได้ ก็เพราะฟังธรรมจากพระอัสสชิเถระ
และบรรลุอรหัตผลได้ ก็เพราะฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า
.....
ฉะนั้น "การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง"
เหตุผลก็คือ เพราะผลแห่งการให้ธรรมนั้น เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ
ทำให้ผู้รับสามารถมีความเห็นถูกต้อง เป็นไปตามพระธรรมของพระพุทธเจ้า
ทั้งในเรื่องทาน ศีล เรื่องกรรมและผลของกรรม
จนกระทั่งสามารถบรรลุธรรมได้
แต่ถ้าเข้าใจว่า การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง
โดยการอ้างอานิสงส์ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้เอง
(ตามที่กล่าวอ้างไว้หลายข้อในเว็บไซต์และหนังสือธรรมะหลายเล่ม)
ก็คงจะเป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงกับความหมายเดิม
กลายเป็นการให้ธรรมที่หวังอานิสงส์มาสู่ตนเอง
ไม่ใช่การให้ธรรมเพื่อหวังประโยชน์ต่อผู้รับ
ฉะนั้น ก่อนที่จะให้ธรรมเป็นทานกับใครก็ตาม
ขอให้คิดว่า เราให้เพื่อประโยชน์แก่ใคร
และถ้าคิดว่าเราจะให้ธรรมเพื่อประโยชน์แก่ผู้รับ
ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า สิ่งที่ให้นั้นเป็นธรรมที่ถูกต้องจริงหรือไม่
(เพื่อยืนยันว่าเราให้เพื่อประโยชน์ของผู้รับจริง ๆ)
การให้ธรรมเป็นทาน จึงจะชนะการให้ทั้งปวงได้ ด้วยประการฉะนี้
.....
คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. สักกเทวราชวัตถุ (เรื่องท้าวสักกะจอมเทพ)