เคยสังเกตไหมครับว่า ในงานบุญต่าง ๆ ตอนที่พระสงฆ์จะพรมน้ำมนต์ให้ ท่านจะสวดมนต์อยู่บทหนึ่ง
ทราบไหมครับว่าพระท่านสวดบทอะไร
..... ฯลฯ .....
สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง
สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะจาริสุ
ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง
ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธิ เต ปะทักขิณา
ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ
เต อัตถะลัทธา สุขิตา วิรูฬหา พุทธะสาสะเน
อะโรคา สุขิตา โหถะ สะหะ สัพเพหิ ญาติภิ ฯ
..... ฯลฯ .....
บทสวดนี้มาจากพระดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย (ในปุพพัณหสูตร)
แปลเป็นไทยว่า
"สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด
เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี
ขณะดี ยามดี และบูชาดีในพรหมจารีบุคคล
กายกรรมเป็นส่วนเบื้องขวา (*)
วจีกรรมเป็นส่วนเบื้องขวา
มโนกรรมเป็นส่วนเบื้องขวา
ความปรารถนาของท่านเป็นส่วนเบื้องขวา
สัตว์ทั้งหลายทำกรรมอันเป็นส่วนเบื้องขวาแล้ว
ย่อมได้ประโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องขวา
ท่านเหล่านั้นได้ประโยชน์แล้ว
จงได้รับความสุข งอกงามในพุทธศาสนา
จงไม่มีโรค ถึงความสุขพร้อมด้วยญาติทั้งมวล"
(*ส่วนเบื้องขวา ในที่นี้หมายถึงความเจริญหรือพฤติกรรมฝ่ายดี)
ในขณะที่ประธานสงฆ์พรมน้ำมนต์ให้เราอยู่ พระสงฆ์ที่เหลือก็จะนั่งสวดมนต์บทนี้กัน
โดยใจความที่แปลเป็นไทยแล้ว ก็เพื่อจะบอกให้เราทั้งหลายประพฤติแต่กรรมฝ่ายดี ทั้งกาย วาจา และใจ
เพราะเมื่อใดที่เราประกอบกรรมดี เมื่อนั้นก็เป็นมงคลแก่ตัวเราเองแล้ว
ความเป็นมงคลเกิดขึ้นเมื่อเราได้ประกอบกรรมดี
ไม่ต้องรีบวิ่งมารับน้ำมนต์ก็ได้
ไม่ต้องนิมนต์ให้พระเดินไปพรมน้ำมนต์ตรงจุดนั้นจุดนี้ก็ได้
เพราะความเป็นมงคลไม่ได้เกิดจากน้ำมนต์
แต่ความเป็นมงคลเกิดจากการทำกรรมดี
ฉะนั้น ถ้าเรารู้ความหมายของบทสวดที่พระสงฆ์ท่านสวดตอนพรมน้ำมนต์
เราก็จะไม่ต้องคอยพะวงว่าน้ำมนต์จะมาถึงเราหรือเปล่า
เราก็จะไม่ต้องคอยห่วงว่าจะได้สิริมงคลด้วยหรือเปล่า
แต่เราจะคอยเตือนตัวเองว่าต้องทำกรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว
ทำกรรมดีเมื่อใด ฤกษ์ดี มงคลดี ก็เกิดขึ้นกับเราเมื่อนั้นนั่นเอง
คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. ปุพพัณหสูตร (ว่าด้วยเวลาเช้าเป็นฤกษ์ดีเป็นต้น)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น