การสมาทานศีลที่ไม่ช่วยให้มีศีล


ในสมัยก่อน  ชาวบ้านที่เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม
เมื่อพระแสดงธรรมเรื่องศีล  และอานิสงส์ของศีลให้ฟัง
ชาวบ้านที่ฟังแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส  อยากจะรักษาศีล
ก็กล่าวกับพระ  เหมือนเป็นการปฏิญาณตนว่า  จะรักษาศีลข้อนั้นข้อนี้  หรือทุกข้อ

พระสงฆ์ก็จะรับทราบ  เป็นพยานในความตั้งใจที่ดีของคนคนนั้น
ซึ่งการทำอย่างนี้ก็มีข้อดี  คือ  ถ้าจะทำผิดศีล  ก็จะเตือนตัวเองได้ว่าเราได้ให้สัญญาต่อหน้าพระแล้วนะ  อย่าทำผิดศีลนะ

ต่อมา  คนที่ฟังธรรมแล้วอยากรักษาศีล  แต่ไม่รู้ว่าจะต้องกล่าวอย่างไร
ยิ่งถ้าต้องกล่าวเป็นภาษาบาลี  ซึ่งตนเองไม่ถนัด  และไม่รู้ความหมายด้วย
พระท่านก็จะบอก  แล้วให้กล่าวตาม

ภาพที่ปรากฏก็เลยกลายเป็นว่า
ต้องมีการอาราธนาศีล (ขอให้พระให้ศีล)
และคอยรับศีลโดยการกล่าวภาษาบาลีตามที่พระบอก





เวลาผ่านไป
คนที่ไม่รู้ที่มาที่ไป  ก็เข้าใจว่าตนจะมีศีลได้  ต้องไปขอศีลจากพระ
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด
.....

ถ้าย้อนกลับไปดูลำดับขั้นตอนในอดีต
จุดเริ่มต้นที่สำคัญ  คือการได้ฟังธรรม
เมื่อฟังธรรมแล้ว  จึงเห็นอานิสงส์ของการรักษาศีล  เห็นโทษของการผิดศีล
เมื่อเห็นอานิสงส์และโทษแจ่มแจ้งแล้ว  จึงอยากรักษาศีล
จากนั้น  จึงกล่าวคำสมาทานศีล (รับเอาศีลมาปฏิบัติ) ต่อหน้าพระสงฆ์

การสมาทานศีลที่เป็นไปโดยลำดับอย่างนี้  จะช่วยให้เรารักษาศีลได้
เพราะเมื่อเราคิดจะทำผิดศีล  ก็จะนึกถึงธรรมที่ได้ฟังมา  นึกถึงโทษของการผิดศีล
นึกละอายแก่พระที่เป็นพยานในการสมาทานศีล
ก็จะช่วยยับยั้งความคิดที่จะทำผิดศีลได้
.....

แต่การสมาทานศีลในปัจจุบัน
ไม่ได้เริ่มจากการฟังธรรม
ทำให้ยังไม่เห็นอานิสงส์ของการมีศีล
ยังไม่เห็นโทษของการผิดศีล
จึงสมาทานศีลกันเพียงเป็นรูปแบบ  เป็นพิธีการ

เมื่อผู้สมาทานศีลคิดจะทำผิดศีล  ก็จะไม่มีสิ่งใดมาฉุดรั้งความคิดนั้นได้
การสมาทานศีลเช่นนี้จึงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย  ยังทำผิดศีลได้เหมือนเดิม
.....

ฉะนั้น  อย่าสักแต่ว่าสมาทานศีลเพียงเพราะเป็นพิธีการ  เป็นแค่รูปแบบ
แต่ควรทำความเข้าใจเรื่องของศีลให้กระจ่างแจ้ง
เมื่อนั้น  การสมาทานศีลที่เกิดจากใจที่อยากจะรักษาศีลจริง
ก็จะช่วยให้เรามีศีล  และนำประโยชน์สุขมาให้ได้จริง


(ขอบคุณข้อมูลจาก  web.facebook.com/tsangsinchai/posts/1738778339549229)
..........



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น