แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง


เมื่อผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งกลายเป็นแม่  ชีวิตของเธอจะเรียบง่ายขึ้น

เคยทำผมร้านประจำ  เมื่อกลายเป็นแม่  ใช้มือสางผมเอาก็ได้
เคยทาครีมทุกวัน  เมื่อกลายเป็นแม่  ไม่ต้องทาครีมทุกวันก็ได้
เคยใช้เสื้อผ้าใหม่ๆ  เมื่อกลายเป็นแม่  เสื้อผ้าชุดเก่าก็ใส่ได้
เคยกินกาแฟที่แพงกว่าข้าว  เมื่อกลายเป็นแม่  กาแฟโบราณธรรมดาก็กินได้
เคยใช้กระเป๋าหรูๆ  เมื่อกลายเป็นแม่  กระเป๋าถือมีแต่ของใช้ลูกเต็มไปหมด
เคยใส่รองเท้าส้นสูง  เมื่อกลายเป็นแม่  รองเท้าส้นสูงก็ถูกเก็บเข้าตู้
.....


(ขอบคุณภาพจาก pexels.com)

ทำไมผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง  เมื่อกลายเป็นแม่  จึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

มีคนบอกว่า  เพราะลูกคือสิ่งที่วิเศษที่สุดในชีวิตของแม่


(ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก facebook.com/littlemonsterrocknroll)


องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ (ใน  อังคุตตรนิกาย  ทุกนิบาต  ตติยปัณณาสก์  อาสาทุปปชหวรรค) ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย  บุคคล ๒ จำพวกนี้หาได้ยากในโลก
บุคคล ๒ จำพวกไหนบ้าง  คือ
๑. บุพการี (ผู้ทำอุปการะก่อน)
๒. กตัญญูกตเวที (ผู้รู้อุปการะที่เขาทำแล้ว  และตอบแทน)
บุคคล ๒ จำพวกนี้แล  หาได้ยากในโลก"

ถ้าจะถามว่า  ในโลกนี้จะมีใครที่ยอมเสียสละ  ยอมเหน็ดเหนื่อย  ยอมลำบาก  ยอมอดทน  ยอมทำทุกอย่างให้กับเรา  โดยไม่หวังอะไรตอบแทน

ลองคิดในมุมของเราว่า  "ถ้าเป็นเรา"
มีหรือที่เราจะยอมเสียสละ  ยอมเหน็ดเหนื่อย  ยอมลำบาก  ยอมอดทน  ยอมทำทุกอย่างให้กับใครสักคน  ที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจากเขา ?  คงจะมีไม่กี่คน  หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้

พระดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเป็นคำจริงแท้  ไม่แปรเป็นอื่น

บุคคลที่หาได้ยากในโลกจำพวกแรก  ก็คือบุพการีนั่นเอง
พ่อแม่  จึงได้ชื่อว่าเป็นบุพการีของลูก

ส่วนผู้ที่ได้รับการอุปการะจากผู้อื่นแล้ว  ที่จะรู้คุณ  และกระทำตอบแทนต่อผู้นั้น  ก็หาได้ยาก

ลูกที่ดี  จึงควรรู้อุปการะที่พ่อและแม่ได้กระทำให้แก่ตน  และควรกระทำตอบแทนพระคุณของพ่อแม่โดยธรรม  จึงจะได้ชื่อว่าเป็นกตัญญูกตเวทีบุคคลของพ่อแม่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสอุปมาไว้ (ในสพรหมกสูตร) ว่า

"คำว่า  พรหม  นี้เป็นชื่อของมารดาบิดา
คำว่า  บุรพาจารย์  นี้เป็นชื่อของมารดาบิดา
คำว่า  บุรพเทพ  นี้เป็นชื่อของมารดาบิดา
คำว่า  อาหุไนยบุคคล  นี้เป็นชื่อของมารดาบิดา
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก  บำรุงเลี้ยง  แสดงโลกนี้แก่บุตร"

ทำไมมารดาบิดาจึงได้ชื่อว่า  พรหม

เพราะท่านมีพรหมวิหาร ๔ ประการต่อลูก  คือ  เมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา

ทำไมมารดาบิดาจึงได้ชื่อว่า  บุรพาจารย์

เพราะท่านเป็นอาจารย์คนแรกที่สอนลูกให้เรียนรู้การนั่ง  การยืน  การเดิน  การนอน  การเคี้ยว  การกิน  รวมทั้งสอนให้รู้จักพูด  และรู้จักว่าอะไรควร  อะไรไม่ควร

ทำไมมารดาบิดาจึงได้ชื่อว่า  บุรพเทพ

เพราะท่านเป็นดุจเทพผู้มีพรหมวิหารธรรม  ไม่ผูกใจถึงความผิดที่ลูกทำไป  พร้อมที่จะให้อภัย  มุ่งหวังแต่ความเจริญแก่ลูก  นำประโยชน์เกื้อกูลและความสุขมาแก่ลูก

ทำไมมารดาบิดาจึงได้ชื่อว่า  อาหุไนยบุคคล

เพราะท่านเป็นผู้ควรแก่ปฏิการคุณที่ลูกพึงทำตอบแทน  เช่น  การปรนนิบัติท่านด้วยอาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ฯลฯ


(ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก facebook.com/littlemonsterrocknroll)

ฉะนั้น  ผู้ที่หวังความเจริญมาสู่ตน  จึงควรเป็นผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่มีพระคุณ

ผู้ที่เป็นลูกทุกคน  จึงควรกระทำการตอบแทนพระคุณของพ่อแม่โดยธรรม

สมดังพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า

"มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์ประชา
ท่านเรียกว่าพรหม  บุรพาจารย์  และอาหุไนยบุคคลของบุตรทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้น  บัณฑิตพึงนมัสการและสักการะมารดาบิดานั้น
ด้วยข้าว  น้ำ  ผ้า  ที่นอน  การอบกลิ่น  การให้อาบน้ำ  และการล้างเท้า
เพราะการปรนนิบัติมารดาบิดานั้นแล
บัณฑิตทั้งหลายจึงสรรเสริญเขาในโลกนี้เอง
เขาตายไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์"

คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. สพรหมกสูตร (ว่าด้วยสกุลที่มีพรหม)


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น