พึงยินดีในการให้


ที่จังหวัดเกาสง  ประเทศไต้หวัน  มีอาม่าวัยชราคนหนึ่งขายข้าวแกงอยู่ที่ตีนสะพานแห่งหนึ่  อาม่าตักข้าวให้ลูกค้าพูนจานทุกคน  กับข้าวนานาชนิดที่อยู่บนแผงขาย  มีทั้งผัก  ทั้งหมู  ทั้งปลา  จะตักกับข้าวเท่าไรก็ได้  อาม่าคิดเงินเพียง ๑๐ ดอลล่าร์ไต้หวัน (ประมาณ ๑๐ บาทไทย) เท่านั้น  เป็นไปไม่ได้เลยที่อาม่าจะมีกำไร  แต่อาม่าก็ขายข้าวแกงที่แผงเล็กๆนี้มา ๕๕ ปีแล้ว

อาม่าคนนี้ชื่อ  จวงจูอวี้  เป็นชาวเผิงหู่  ตอนอายุ ๑๖ ก็แต่งงานมาอยู่ที่เกาสง  หลังแต่งงานได้ไม่นาน  สามีก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร  แกตัวคนเดียวต้องเลี้ยงลูกด้วยตนเอง  ระหกระเหเร่ร่อนไปทั่วสารทิศ  เคยไม่มีเงิน  หมดจนหนทาง  แต่แล้วก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนงานจนๆที่ท่าเรือ  แกก็เลยจำขึ้นใจ


เมื่อสามีกลับมา  ชีวิตก็ดีขึ้นมาหน่อย  ทั้งคู่เช่าคลังสินค้าที่ท่าเรือเกาสง  แล้วเปิดบริษัทเอาของขึ้นลงจากเรือ  ตอนนั้นเอง  อาม่าพบว่าคนงานที่ท่าเรือนี้เหนื่อยยากลำบากมาก  รายได้ก็น้อย  แม้แต่ที่ซุกหัวนอนก็ยังไม่มี

เมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองได้รับความช่วยเหลือจากคนงานที่ท่าเรือ  อาม่าก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก  แกจึงประกาศให้คนงานมานอนในคลังสินค้าของแกได้ฟรี

เมื่อปัญหาที่อยู่อาศัยหมดไป  อาม่าก็เริ่มสงสารที่คนงานไม่เคยได้กินอาหารร้อน ๆ  แกก็เลยทำอาหารไปให้คนงานโดยไม่คิดเงิน  แกทำแบบนี้มาตลอดชีวิต  ทุกวัน  ไม่เคยหยุด  แกจะไปซื้ออาหารสดที่ตลาด  จากนั้นก็เอากลับมาล้าง  แล้วปรุงออกมาวางบนแผงเพื่อให้คนงานได้กินข้าวอิ่มๆตั้งแต่เช้า  ไม่ว่าฝนจะตก  พายุจะเข้า  อาม่าก็ไม่เคยหยุด


ไม่นาน  เรื่องราวความมีน้ำใจของอาม่าก็แพร่ขยายไปทั่ว  ไม่เพียงแค่คนงานที่ท่าเรือเท่านั้นที่มากินข้าว  คนจน  คนข้างถนนแถวนั้น  ก็มากินด้วย  มีคนมากินอาหารฟรีวันละกว่า ๒๐๐ คน  ยิ่งทำให้อาม่ารู้สึกว่าสิ่งที่แกทำสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย  แกก็ยิ่งมีแรงที่จะทำต่อไป


การทำอาหารเลี้ยงคนจำนวนมากกินทุกวัน  ใช้เงินไม่น้อย  อาม่าก็ใช้เงินของตัวเองมาโดยตลอด  แต่เพื่อให้แผงข้าวอยู่ได้ต่อไป  แกก็เลยเริ่มเก็บเงินจานละ ๓ ดอลล่าร์ไต้หวัน  ๕ ดอลล่าร์ไต้หวัน  ขายราคานี้มา ๑๐ ปี  จึงได้ขึ้นเป็น ๑๐ ดอลล่าร์ไต้หวัน  แต่กระนั้น  ถ้ามีคนลำบากมาที่แผง  แกก็จะให้กินจนอิ่มโดยไม่เก็บเงิน


เมื่อเงินเก็บของอาม่าเริ่มหมดไป  อาม่าก็หาทางออกด้วยตัวแกเอง  หลังจากเก็บแผงข้าวแกงแล้ว  ก็ไปเก็บขยะขายบ้าง  เงินที่ลูกๆให้ไว้ใช้ส่วนตัวก็เอามาใช้ตรงนี้  ต่อมาก็ถึงกับขายบ้าน  และไปกู้เงินนอกระบบเพื่อมาช่วยส่วนนี้ด้วย  อาม่าไม่ได้ช่วยแค่เรื่องอาหาร  เมื่อคนงานที่ท่าเรือไม่มีเงินแต่งงาน  อาม่าก็จะออกเงินจัดงานแต่งงานให้เหมือนว่าทุกคนเป็นญาติของแกเอง


อาม่าทำอย่างนี้มาตลอด  ทำความดีโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน  แม้อายุจะมากขึ้นก็ตาม

ตอนช่วงอายุ ๗๐  สุขภาพของอาม่าเริ่มแย่ลง  จากที่ทำอาหาร ๓ มื้อ  ก็ต้องลดเหลือแค่ ๒ มื้อ
พอช่วงอายุ ๘๐  สุขภาพก็แย่ลงเรื่อย ๆ  จนต้องนอนบนเตียงไปไหนไม่ได้  แต่อาม่าก็ยังห่วงกังวลว่าคนงานจะไม่มีข้าวกิน  พอวันไหนอาการดีขึ้นมาหน่อย  แกก็รีบไปทำอาหารขายเหมือนเดิม  ลูกหลานห้ามก็ไม่ฟัง  จึงต้องประนีประนอมให้เหลือแค่วันละมื้อ

แต่ความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้  ต่อมาไม่นาน  อาม่าเกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตก  ต้องนอนอยู่บนเตียงอีก  หลังจากนั้น ๕ ปีแกก็เสียชีวิต  ตั้งแต่นั้นมา  ก็ไม่มีแผงข้าวแกงเพื่อคนจนของอาม่าอีกต่อไป


ในงานศพของอาม่า  มีคนมาร่วมงานมากกว่า ๒,๐๐๐ คน  พวงหรีดวางยาวเรียงต่อกันหลายร้อยเมตร

คนงานท่าเรือทั้งในอดีตและปัจจุบันมากมายมางานศพอาม่า  พวกเขาระลึกถึงบุญคุณที่อาม่าเคยช่วยเหลือพวกเขาในยามลำบาก  ทุกคนร้องไห้น้ำตาไหลพราก
หลังจากครบรอบ ๑ ปีวันเสียชีวิตของอาม่า  ลูกๆของแกก็จัดตั้งมูลนิธิจวงจูอวี้  เพื่อทำตามปณิธานของแม่ต่อไป
(ขอบคุณบทความแปลและภาพประกอบโดย  http://www.liekr.com/post_153803.html)



โดยทั่วไปแล้ว  การที่ใครสักคนจะยอมสละสิ่งที่ตนเป็นเจ้าของ  ทำบุญให้ทานแก่ผู้อื่น  เพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น  โดยไม่หวังผลตอบแทน  ไม่ใช่จะทำได้ง่าย
แต่ถ้าเราสามารถละความตระหนี่ที่มีอยู่ในใจ  เป็นผู้ยินดีในการให้  เราจะรู้สึกได้ถึงความสุขที่เกิดขึ้นในใจ  ความสุขที่เกิดจากการเป็นผู้ให้

นอกจากความสุขใจแล้ว  การทำบุญให้ทานที่ทำด้วยความเต็มใจ  มีความยินดีที่จะให้  ก็ยังมีผลมีอานิสงส์อีกหลายประการ .....


ในสมัยพุทธกาล  มีผู้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ในสีหเสนาปติสูตร) ว่า  "การทำบุญให้ทานจะมีผลอะไรที่พึงเห็นประจักษ์ด้วยตนเองได้บ้าง"

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสตอบถึงผล ๕ ประการนี้  คือ
๑. ทำให้เราเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป
๒. คนดีย่อมอยากคบหาสมาคมด้วย
๓. ชื่อเสียงที่ดีงามก็เป็นที่เลื่องลือไป
๔. ทำให้เป็นผู้องอาจผ่าเผย  จะไปในที่ใดก็ไม่เก้อเขิน  เพราะเป็นผู้ที่ได้ทำความดีไว้
๕. หลังจากตายแล้ว  จะได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์

เมื่อฟังจบ  เขากราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

ใน ๔ ข้อแรกนั้น  เขาไม่เพียงแต่เชื่อเท่านั้น  แต่เขายังเห็นประจักษ์ในผลที่เกิดขึ้นทั้ง ๔ ข้อนั้นด้วย  เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองจริง ๆ  คือ  เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป  คนดีเข้ามาคบหาสมาคมด้วย  ชื่อเสียงอันดีงามฟุ้งขจรไป  และเมื่อจะไปในที่ใด  ก็ไม่ต้องอาย  ไม่ต้องหลบซ่อน  เป็นผู้แกล้วกล้า  ไปได้ทุกที่อย่างสง่าผ่าเผย

แต่ในข้อที่ ๕ นั้น  เขายังไม่ประจักษ์แก่ตัวเอง (เพราะยังไม่ตาย)  แต่เชื่อตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นจริงตามนั้นแน่นอน .....


ฉะนั้น  การละความตระหนี่ที่มีอยู่ในใจ  เป็นผู้ยินดีในการให้  เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
นอกจากจะได้รับความสุขเกิดขึ้นในใจแล้ว
ยังมีผลมีอานิสงส์อีกมากที่จะเกิดขึ้นกับเราได้แม้ในชาติปัจจุบันนี้  จนถึงในสัมปรายภพได้อีกด้ว

สมดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

       "นรชนผู้ไม่ตระหนี่  ให้ทานอยู่
ย่อมเป็นที่รักของคนหมู่มาก
คนหมู่มากย่อมคบหานรชนนั้น
เขาย่อมได้รับเกียรติ  เจริญด้วยยศ
เป็นผู้ไม่เก้อเขิน  แกล้วกล้า  เข้าสู่บริษัท
       เพราะเหตุนั้นแล  บัณฑิตทั้งหลายผู้หวังสุข
จงขจัดความตระหนี่อันเป็นมลทิน  แล้วให้ทาน
บัณฑิตเหล่านั้นย่อมดำรงในไตรทิพย์ (สวรรค์)
ถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับเทวดา
รื่นเริงอยู่ตลอดกาลนาน
       บัณฑิตเหล่านั้นได้โอกาสบำเพ็ญกุศลแล้ว
ละโลกนี้ไป  ย่อมมีรัศมีเปล่งปลั่ง
เที่ยวชมไปในอุทยานชื่อนันทวัน (เป็นชื่อสวนดอกไม้ที่อยู่บนสวรรค์)
เพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕
เพลิดเพลิน  รื่นเริง  บันเทิง  อยู่ในนันทวันนั้น
       สาวกทั้งปวงของพระสุคต  ผู้ไม่มีกิเลส  ผู้คงที่
ทำตามพระดำรัสของพระองค์แล้ว
ย่อมรื่นเริงในสวรรค์"

คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น