การทำบุญให้ทานไม่ใช่การลงทุน


เคยสังเกตกันบ้างไหมครับว่า
ตอนที่เราบริจาคเงินให้มูลนิธิต่าง ๆ  เช่น  มูลนิธิเด็ก  มูลนิธิกระจกเงา  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  หรืออื่น ๆ
เพราะเราอยากสนับสนุนโครงการของมูลนิธินั้น ๆ ในการช่วยเหลือสังคม
ตอนที่เราบริจาคโลหิต  เพราะเราอยากช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการโลหิตในการรักษา
ตอนที่เราบริจาคข้าวสารอาหารแห้งและน้ำดื่ม  เพราะเราอยากช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
ตอนที่เราบริจาคเงินบำรุงโรงพยาบาลสงฆ์  เพราะเราอยากช่วยเหลือพระภิกษุอาพาธ
ตอนที่เราบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่  เพราะเราอยากให้ร่างกายที่ตายแล้วเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาแพทย์
ตอนที่เราถวายสังฆทาน  เพราะเราอยากบำรุงพระภิกษุสามเณรให้มีปัจจัย ๔ ที่จำเป็นไว้ใช้สอย  เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป
ฯลฯ .....

ที่เราทำไปทั้งหมดนั้น  เพราะเราต้องการให้ผู้อื่นบรรเทาทุกข์  อยากเห็นเขามีความสุข

ซึ่งสิ่งที่เราได้จากการกระทำเหล่านั้น  ก็คือความสุขใจที่เกิดขึ้นกับเรา  เป็นความอิ่มเอิบใจที่เกิดขึ้น ... จากการเป็นผู้ให้

เมื่อเราคิดจะให้  แม้ยังไม่ได้ให้  เพียงแค่คิดว่าจะให้  ความสุขใจก็เกิดขึ้นแล้ว

ในขณะที่กำลังให้  ได้เห็นรอยยิ้มของผู้รับ  ก็ยิ่งสุขใจมากขึ้น
หลังจากให้ไปแล้ว  ระลึกถึงขึ้นมาครั้งใด  ก็ยังสุขใจอยู่เสมอ
แม้จะไม่มีอะไรตอบแทนกลับมา  แม้ผู้รับจะลืมกล่าวคำขอบคุณ
แต่เราในฐานะผู้ให้ ..... ก็มีความสุขเกิดขึ้น  เป็นสิ่งตอบแทน
นี่คืออานิสงส์ของการเป็นผู้ให้ที่จะบังเกิดขึ้นเฉพาะตน  เป็นสิ่งที่แต่ละคนจะสัมผัสได้ด้วยตนเอง

การให้ ..... ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องได้รับอะไรตอบแทนกลับมาหรือไม่
ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีใครรู้ใครเห็นหรือไม่
ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำให้เรามีคนรักได้หรือไม่
ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำให้เราร่ำรวยได้หรือไม่
ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรงได้หรือไม่
ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำให้เราไปสวรรค์ได้หรือไม่
เพราะถ้าเราให้เพื่อประโยชน์ผู้อื่น  เราให้ด้วยความเต็มใจ  เราให้โดยไม่เสียดาย
เมื่อให้แล้ว  สิ่งที่เราจะได้กลับมาแน่นอน  ก็คือความสุขใจ
.....


แต่ในทางกลับกัน
ตอนที่เราลำบาก  ประสบอุบัติเหตุ  เจ็บป่วย  พลัดพรากจากคนรัก  มีความทุกข์  ฯลฯ
เราทำบุญถวายสังฆทาน  เพราะเราคิดว่าจะได้อานิสงส์หมดเวรหมดกรรม
เราทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา  เพราะเราคิดว่าจะได้อานิสงส์อายุยืนยาว
เราทำบุญบริจาคเงินบำรุงโรงพยาบาลสงฆ์  เพราะเราคิดว่าจะได้อานิสงส์หายเจ็บหายป่วย
เราทำบุญทอดกฐิน  เพราะเราคิดว่าจะได้อานิสงส์ให้ร่ำรวยมีเงินมีทอง
เราทำบุญสร้างพระสร้างโบสถ์  เพราะเราคิดว่าจะได้อานิสงส์ประสบความสำเร็จในชีวิต  หรือคิดว่าจะได้อานิสงส์ไปสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้
ฯลฯ .....

ที่เราทำไปทั้งหมดนั้น  เป็นการทำเพื่อตัวเอง  ไม่ใช่การทำเพื่อผู้อื่น

เราทำไปเพราะหวังจะได้สิ่งตอบแทนกลับมา
ซึ่งถ้าเราสังเกตให้ดี  ความสุขใจที่ควรจะเกิดจากการทำบุญให้ทาน  กลับไม่เกิดขึ้นกับเรา ???
และเมื่อสิ่งที่เราหวังจะได้ตอบแทนกลับมาไม่สัมฤทธิ์ผล  เราก็เป็นทุกข์ไปเสียอีก

ก่อนที่จะให้  แม้ยังไม่ได้ให้  ก็คิดว่าอานิสงส์ของบุญนี้จะช่วยได้หรือไม่หนอ

ในขณะที่กำลังให้  ก็คาดหวังอานิสงส์กลับมาเต็มที่
(เหมือนที่มีคนพูดว่า  "ทำบุญ ๑๐ บาท  หวังถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑")
หลังจากให้ไปแล้ว  เมื่ออานิสงส์ของทานนั้นยังไม่ให้ผล  ก็เป็นทุกข์
และเมื่อเวลาผ่านไป  ก็ไม่สามารถระลึกถึงการทำบุญให้ทานนั้นๆได้  หรือระลึกได้ก็เฉย ๆ
เพราะเราให้เพื่อประโยชน์ตัวเอง  เราไม่ได้สละให้ด้วยความเต็มใจ  เราให้โดยหวังผล
ซึ่งเมื่อเป็นอย่างนี้  ความสุขใจที่ควรจะได้  จึงไม่ได้  ความอิ่มเอิบใจที่ควรจะเกิด  จึงไม่เกิด

ความลำบาก  อุบัติเหตุ  ความเจ็บป่วย  ความพลัดพรากจากคนรัก  อุปสรรคปัญหาต่างๆในชีวิตที่เกิดขึ้น  เราก็ยังต้องแก้ไขฟันฝ่าปัญหาเหล่านั้น
แต่การทำบุญให้ทานโดยคิดว่าจะได้อานิสงส์มาแก้ปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้  นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด  .....

ฉะนั้น  การทำบุญให้ทานที่มีเจตนาเพื่อตัวเอง  จึงเปรียบเหมือนการลงทุนโดยหวังผลตอบแทน  จิตใจจะไม่ได้รับความสุข

(หลายๆคนหลงเชื่อคำกล่าวอ้างโฆษณาที่ว่า  "ทำบุญให้ทานอย่างนั้นอย่างนี้  แล้วจะได้อานิสงส์อย่างนั้นอย่างนี้"  จึงทำให้การทำบุญให้ทานกลับกลายเป็นการลงทุน)

แต่การทำบุญให้ทานที่มีเจตนาเพื่อผู้อื่น  ถึงแม้อานิสงส์ของทานนั้นจะยังไม่ให้ผล  แต่ผู้ให้ย่อมได้รับความสุขใจเกิดขึ้นทันที

(อานิสงส์ของทานมีอะไรบ้าง  จะกล่าวในโอกาสต่อไป)

จะให้ทานเพื่อการลงทุน  หรือจะให้ทานเพื่อการทำบุญ ..... คุณเป็นผู้เลือก !!!



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น