มีคำกล่าวว่า "พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก"
เป็นคนที่สอนให้ลูกเรียนรู้การนั่ง การยืน การเดิน การนอน
สอนให้รู้จักการเคี้ยว การกิน การพูด และอื่น ๆ อีกหลาย ๆ อย่าง
และที่สำคัญ ...
สอนให้รู้จักว่า อะไรควร อะไรไม่ควร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ (ในสิงคาลกสูตร) ว่า
สิ่งที่พ่อแม่ควรกระทำแก่ลูก คือ
๑. ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา
๔. หาคู่ครองที่สมควรให้
๕. มอบทรัพย์สมบัติให้ในเวลาอันสมควร
แต่ถ้าพ่อแม่ไม่ทำหน้าที่เหล่านี้ให้ดี
โดยเฉพาะ ๒ ข้อแรก
อะไรจะเกิดขึ้นกับลูก
..........
ยกตัวอย่างในสมัยพุทธกาล
มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็นเศรษฐีมีทรัพย์สมบัติมาก
มีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่คนหนึ่ง
พ่อแม่ที่เป็นเศรษฐีคิดว่า
"ในตระกูลของเรามีทรัพย์สมบัติมากมาย
ลูกสุดที่รักของเราไม่จำเป็นต้องทำการงานอะไร
ก็มีเงินทองใช้ได้อย่างสบายไปทั้งชีวิต"
จึงไม่ได้ให้ลูกชายเรียนศิลปวิทยาใด ๆ เลย
ให้เรียนรู้แต่การใช้จ่ายเงินเท่านั้น
ต่อมา ลูกชายเศรษฐีก็ได้แต่งงานกับลูกสาวของเศรษฐีอีกตระกูลหนึ่ง
ซึ่งไม่ได้ศึกษาศิลปวิทยาใด ๆ เช่นเดียวกัน
เวลาผ่านไป พ่อแม่ของทั้งสองตระกูลก็ถึงแก่กรรม
สมบัติของทั้งสองตระกูลก็ตกเป็นของลูกเศรษฐี
วันหนึ่ง พวกนักเลงสุราพากันตั้งวงสุราในที่ที่ลูกเศรษฐีนั้นจะเดินผ่าน
ทำทีท่าร้องรำทำเพลง สรวลเสเฮฮา ดื่มสุรากันอย่างมีความสุข
เมื่อลูกเศรษฐีเดินผ่านมาเห็นเข้า
ก็ถามคนรับใช้ที่เดินมาด้วยว่า "พวกนั้นดื่มอะไรกัน"
คนรับใช้ตอบว่า "พวกนั้นดื่มน้ำชนิดหนึ่งครับนาย"
ลูกเศรษฐีถามว่า "น้ำนั้นคงจะมีรสชาติอร่อยมากล่ะสิ"
คนรับใช้ตอบว่า "นาย ในโลกนี้ ไม่มีน้ำอะไรที่น่าดื่มยิ่งไปกว่าน้ำนี้อีกแล้ว"
ลูกเศรษฐีคิดว่า "ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องดื่มบ้างสิ"
จึงให้คนรับใช้ไปหามาให้
ต่อมา เมื่อพวกนักเลงสุรารู้ว่าลูกเศรษฐีนั้นได้ดื่มสุราและติดใจในสุราแล้ว
จึงพากันแวดล้อมลูกเศรษฐีนั้น จนลูกเศรษฐีมีบริวารเป็นนักเลงสุรากลุ่มใหญ่
เขาได้จ่ายทรัพย์ไปกับค่าสุราบ้าง
จ่ายให้กับค่ากับแกล้มบ้าง
จ่ายให้กับนักร้องนักดนตรีบ้าง
จ่ายให้กับบริวารทั้งหลายบ้าง
ไม่นานนัก
เงินที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้และเงินของพ่อตาแม่ยายก็ถูกใช้ไปจนหมด
สมบัติที่มีทุกอย่างแม้กระทั่งบ้านก็ถูกขายเพื่อเอาเงินมาซื้อสุราจนหมดอีก
เมื่อทรัพย์สมบัติที่มีหมดสิ้นไป ไม่มีกระทั่งบ้านที่อยู่
เขาจึงต้องพาภรรยาเที่ยวเร่ร่อนขอทาน
องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนทั้งสองนี้กำลังรอรับอาหารที่เหลือจากภิกษุ จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
"ถ้าลูกเศรษฐีไม่ผลาญสมบัติจนหมด รู้จักทำการงานในปฐมวัย
ก็จะได้เป็นเศรษฐีชั้นเลิศในเมืองนี้
และถ้าออกบวช ก็จะบรรลุอรหัตผล
แม้ภรรยาของเขาก็จะดำรงอยู่ในอนาคามิผล
ถ้าไม่ผลาญสมบัติจนหมด รู้จักทำการงานในมัชฌิมวัย
ก็จะได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ ๒
ถ้าออกบวช ก็จะได้เป็นอนาคามี
แม้ภรรยาของเขาก็จะดำรงอยู่ในสกทาคามิผล
ถ้าไม่ผลาญสมบัติจนหมด รู้จักทำการงานในปัจฉิมวัย
ก็จะได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ ๓
ถ้าออกบวช ก็จะได้เป็นสกทาคามี
แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
แต่บัดนี้ ลูกเศรษฐีนั้นเสื่อมแล้วจากทรัพย์ทางโลก
และเสื่อมแล้วจากทรัพย์ทางธรรมด้วย"
..........
ถ้าครูคนแรกของลูก
ไม่สอนลูก ให้รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี
ไม่สอนลูก ให้รู้จักการเลือกคบเพื่อนที่ดี
ไม่สอนลูก ให้รู้จักบาป รู้จักบุญ
ไม่สอนลูก ให้รู้จักพระธรรมในพระพุทธศาสนา
ปล่อยให้ลูกทำผิด แล้วไม่ว่ากล่าวตักเตือน
ก็เท่ากับปล่อยให้ลูกไปสู่ความหายนะ !!!
.....
และก่อนที่จะสอนลูก
เราก็ต้องเข้าใจในเรื่องที่เราจะสอน
และทำในสิ่งที่เราสอนควบคู่ไปด้วย
คำสอนนั้นจึงจะทรงพลังให้ลูกเชื่อและทำตามได้จริง
เราเป็นครูคนแรกที่ดีของลูกหรือยัง
.....
คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. สิงคาลกสูตร (ว่าด้วยสิงคาลกมาณพ)
๒. มหาธนเสฏฐิปุตตวัตถุ (เรื่องบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก)
๑. สิงคาลกสูตร (ว่าด้วยสิงคาลกมาณพ)
๒. มหาธนเสฏฐิปุตตวัตถุ (เรื่องบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น