พระรูปหนึ่ง มีความคิดในขณะที่กำลังเดินบิณฑบาตว่า
"ขอให้มีคนมาใส่บาตร อย่าได้ไม่มีเลย
ขอให้มีคนมาใส่บาตรมาก ๆ อย่าได้มีน้อยเลย
ขอให้ใส่บาตรแต่ของดี ๆ อร่อย ๆ อย่าได้ใส่แต่ของธรรมดา ๆ เลย
ขอให้กระตือรือร้นเพื่อใส่บาตร อย่าได้เฉื่อยชาเลย
ขอให้ใส่บาตรโดยเคารพนอบน้อม อย่าได้ใส่โดยไม่เคารพนอบน้อมเลย"
แต่เมื่อไม่มีคนใส่บาตร
หรือมีคนใส่บาตรน้อย
หรือใส่บาตรแต่ของธรรมดา ๆ
หรือใส่บาตรอย่างเฉื่อยชา
หรือใส่บาตรโดยไม่เคารพนอบน้อม
พระรูปนี้ก็เสียใจ มีความทุกข์เกิดขึ้น
.....
พระอีกรูปหนึ่ง ไปบิณฑบาตเหมือนกัน และมีความคิดเหมือนกันว่า
"ขอให้มีคนมาใส่บาตร อย่าได้ไม่มีเลย
ขอให้มีคนมาใส่บาตรมาก ๆ อย่าได้มีน้อยเลย
ขอให้ใส่บาตรแต่ของดี ๆ อร่อย ๆ อย่าได้ใส่แต่ของธรรมดา ๆ เลย
ขอให้กระตือรือร้นเพื่อใส่บาตร อย่าได้เฉื่อยชาเลย
ขอให้ใส่บาตรโดยเคารพนอบน้อม อย่าได้ใส่โดยไม่เคารพนอบน้อมเลย"
แต่เมื่อไม่มีคนใส่บาตร
หรือมีคนใส่บาตรน้อย
หรือใส่บาตรแต่ของธรรมดา ๆ
หรือใส่บาตรอย่างเฉื่อยชา
หรือใส่บาตรโดยไม่เคารพนอบน้อม
พระรูปที่สองนี้ก็ไม่เสียใจ ไม่ได้เป็นทุกข์
.....
ดูเผิน ๆ แล้ว พระทั้ง ๒ รูปต่างก็มีความคิดในการบิณฑบาตเหมือน ๆ กัน
แต่พระรูปแรกปรารถนาให้คนมาใส่บาตรเยอะ ๆ ดี ๆ เร็ว ๆ โดยเคารพ
เพราะต้องการให้ตนเองได้รับของเยอะ ของดี ได้เร็ว และได้รับความเคารพ
แต่เมื่อไม่ได้ตามที่ปรารถนา จึงเสียใจ เป็นทุกข์
.....
ในขณะที่พระรูปที่สอง ก็ปรารถนาให้คนมาใส่บาตรเยอะ ๆ ดี ๆ เร็ว ๆ โดยเคารพ
แต่ที่ปรารถนาเช่นนั้น เพราะรู้ว่า
การให้ทาน มีอานิสงส์
การให้ของมาก ก็มีอานิสงส์
การให้ของประณีต ก็มีอานิสงส์
การให้โดยกระตือรือร้น ก็มีอานิสงส์
การให้โดยเคารพ ก็มีอานิสงส์
อานิสงส์ของทานจะเกิดขึ้นแก่ผู้ให้ทานนั้นเอง
พระรูปที่สองนี้ ปรารถนาจะให้ผู้คนทำบุญให้ทานใส่บาตร
เพราะจะมีผลมีอานิสงส์ต่อผู้นั้นเอง
เมื่อมีผู้ทำบุญให้ทานเช่นนั้น ก็จะยินดี อนุโมทนาในความดีของผู้นั้น
(ไม่ใช่ยินดีว่าเราได้รับของดีของเยอะ)
แต่ถ้าเขาไม่ทำบุญใส่บาตร
หรือเขาทำบุญใส่บาตร แต่ใส่น้อย
หรือใส่แต่ของธรรมดา ๆ
หรือใส่อย่างเฉื่อยชา
หรือใส่โดยไม่เคารพนอบน้อม
พระรูปนี้ก็จะไม่เสียใจหรือเป็นทุกข์
เพราะรู้ว่า
๑. เขาอาจจะยังไม่รู้ถึงอานิสงส์ของการให้ทาน หรือ
๒. อาจจะเป็นเพราะผลของอกุศลกรรมที่เราเคยทำไว้
ทำให้ไม่มีใครใส่บาตรให้เรา เหมือนเรื่องของพระโลสกเถระ
.....
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ภิกษุประเภทที่ ๑ "เป็นผู้ไม่สมควรเข้าไปสู่ตระกูล"
เพราะไม่ได้เป็นเนื้อนาบุญต่อผู้อื่น และเป็นโทษทุกข์ต่อภิกษุรูปนั้นเอง
ภิกษุประเภทที่ ๒ "เป็นผู้สมควรเข้าไปสู่ตระกูล"
เพราะสามารถสงเคราะห์คฤหัสถ์ทั้งหลายที่ปรารถนาบุญได้
.....
(อ่านเพิ่มเติมได้ในกุลูปกสูตร)
ก่อนที่จะไปบิณฑบาต
ตรวจสอบตนเองว่า เราเป็นผู้สมควรเข้าไปสู่ตระกูลแล้วหรือยัง
เราไปบิณฑบาตเพื่อการสงเคราะห์อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย
หรือไปบิณฑบาตเพื่อหาลาภสักการะมาสู่ตนเองกันแน่
..........
คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. กุลูปกสูตร (ว่าด้วยภิกษุผู้เข้าไปสู่ตระกูล)
๒. โลสกชาดก (ว่าด้วยคนโลเลต้องเศร้าโศก)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น