จากบทความเรื่องถ้าท่านกลัวทุกข์
มีผู้อ่านท่านหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นว่า
"คนที่ประสบทุกข์ส่วนใหญ่ คิดว่าตัวเองดวงไม่ดี ไม่ได้คิดว่าตัวเองกำลังรับผลกรรมที่ทำไว้"
ซึ่งในสังคมปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
คนที่มีความคิดว่าเป็นเพราะตัวเองดวงไม่ดี
ก็จะเที่ยวแสวงหาวิธีแก้ดวงต่าง ๆ ทั้งการอาบน้ำมนต์ นอนโลงศพ บูชาผ้ายันต์ บูชาเทพเจ้า พึ่งโหราศาสตร์ / ไสยศาสตร์ หาเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ฯลฯ
บางคนที่ทำแล้ว เรื่องร้าย ๆ ที่ประสบอยู่คลี่คลายดีขึ้น ก็คิดว่าวิธีนั้น ๆ ได้ผล
ทำให้ยิ่งหลงเชื่อในวิธีนั้น ๆ หลงศรัทธาในบุคคลนั้น ๆ มากขึ้นไปอีก
ซึ่งแท้จริงแล้ว เป็นเพราะผลกรรมนั้นคลี่คลายเบาบางลงแล้วต่างหาก
ส่วนบางคนที่ทำแล้ว เรื่องร้าย ๆ ก็ยังอยู่ ไม่ได้ดีขึ้น
ก็ไม่คิดว่าไม่ใช่เรื่องดวง แต่กลับคิดว่าเพราะดวงตกมาก เดินหน้าแก้ดวงต่อไป
ข้อเสียอีกอย่างของความหลงผิด ที่คนประสบทุกข์ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าตัวเองกำลังรับผลของบาปอกุศล
ก็จะทำให้ไม่มีการหยุดการกระทำที่เป็นบาปอกุศล
เพราะยังไม่เห็นบาปว่า "เป็นบาป" ไม่เห็นชัดถึงโทษภัยของการละเมิดศีล
กลับเห็นบาปว่า "เป็นสิ่งสมควร"
เขาก็จะมีเหตุผลมาอ้างให้ทำบาป ให้ละเมิดศีลโดยไม่รู้สึกผิด
แต่นั่น ทำให้เขาต้องประสบทุกข์ ได้รับผลของกรรมนั้นต่อไปอีกยาวนาน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนฤๅษีตนหนึ่งชื่ออัคคิทัตว่า
"มนุษย์จำนวนมากผู้ถูกภัยคุกคาม
ต่างถึงภูเขา ป่าไม้ อาราม และรุกขเจดีย์เป็นที่พึ่ง
นั่นมิใช่ที่พึ่งอันเกษม นั่นมิใช่ที่พึ่งอันสูงสุด
เพราะการอาศัยที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้"
สมัยก่อน ก็มีการไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา ขอเจ้าที่เจ้าทาง ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครองภัยอันตราย
สมัยนี้ ก็มีการพัฒนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ขึ้นมามากมายให้คนไปอ้อนวอน ขอให้ช่วย
แต่การพึ่งสิ่งเหล่านั้น ไม่ได้ช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้จริง
ความน่ากลัวของการมีที่พึ่งที่ผิด คือ
นอกจากจะไม่สามารถทำให้ปัญหาหรือทุกข์ที่มีอยู่หมดไปได้
แต่กลับจะทำให้เกิดปัญหาหรือทุกข์ใหม่ขึ้นมาอีก
(เพราะยังคงทำบาปอกุศลอยู่ ละเมิดศีลอยู่)
ในตอนท้าย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนฤๅษีตนนั้นว่า
"ผู้ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ย่อมเห็นอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐ ๔ อย่าง ด้วยปัญญาอันชอบ
คือเห็นทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
นี่แหละเป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันสูงสุด
เพราะการอาศัยที่พึ่งนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้"
การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ไม่ใช่เป็นที่พึ่งแบบเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ไม่ใช่ให้เราอ้อนวอนร้องขอให้ช่วยดลบันดาลอย่างนั้นอย่างนี้
แต่การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
คือการได้ศึกษาพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ โดยมีพระสงฆ์นำมาบอกต่อ
แล้วน้อมนำพระธรรมนั้นมาพิจารณา และนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ซึ่งกรอบของการปฏิบัตินั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วในโอวาทปาฏิโมกข์ คือ
"ละเว้นจากบาปอกุศลทั้งปวง
บำเพ็ญบุญกุศลให้ถึงพร้อม
ชำระจิตให้ผ่องใสบริสุทธิ์"
เมื่อเราละเว้นจากการทำบาปอกุศลทั้งหลาย เราก็จะไม่ต้องประสบกับผลของอกุศลที่นำทุกข์มาให้
เมื่อเราเจริญอยู่ในบุญกุศลทั้งหลาย เราก็จะประสบกับผลของกุศลที่นำสุขมาให้
ด้วยการอาศัยที่พึ่งคือพระรัตนตรัย ด้วยการน้อมมาปฏิบัติในชีวิตจริง
นี่แลที่ทำให้เราพ้นจากทุกข์ได้
ฉะนั้น เมื่อท่านประสบปัญหาต่าง ๆ ที่นำทุกข์มาให้
ขอให้ระลึกว่า ไม่ใช่เพราะดวงไม่ดี อย่าได้เที่ยวไปสะเดาะเคราะห์แก้กรรมให้เสียเวลา
(ถึงจะอ้างว่าเพื่อความสบายใจ แต่มันเป็นการหลอกตัวเอง)
จงตระหนักว่า เพราะเราเคยทำบาปอกุศลกรรมเอาไว้
เราทำของเราเอง ไม่มีใครทำบาปแล้วโยนผลของบาปมาให้เราได้
เราจึงควรรับผลของกรรมโดยความเคารพ
และตั้งใจแน่วแน่ที่จะละเว้นบาปอกุศลกรรมใหม่
มุ่งมั่นที่จะเจริญแต่บุญกุศลเท่านั้น
คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. อัคคิทัตตปุโรหิตวัตถุ (เรื่องอัคคิทัตตปุโรหิต)
ซึ่งได้แสดงความคิดเห็นในบทความถ้าท่านกลัวทุกข์ (ที่แชร์ไว้ใน Google+)
เป็นประเด็นให้นำมาขยายความต่อได้ในบทความนี้)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น