มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับแมวศักดิ์สิทธิ์ ที่ผมอ่านเจอจากบล็อกของคุณ Anontawong's Musings เรื่องมีอยู่ว่า
ย้อนกลับไปราว ๑๐๐ ปีเศษ ณ วัดแห่งหนึ่ง
ขณะที่พระในวัดกำลังสวดมนต์ทำวัตรเย็น ปรากฏว่ามีแมววัดตัวหนึ่งเข้าไปเดินป้วนเปี้ยนรบกวนการสวดมนต์และการนั่งสมาธิของพระในวัด เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน
ต่อมา เจ้าอาวาสจึงให้ลูกศิษย์นำแมวตัวนั้นไปผูกไว้กับเสาตรงระเบียงทุกครั้งก่อนที่จะทำวัตรเย็น
หลายปีผ่านไป เมื่อเจ้าอาวาสมรณภาพ แมวตัวนั้นก็ยังถูกผูกไว้ที่เสาต้นเดิมทุกครั้งที่มีการทำวัตรเย็น
๑๐ ปีผ่านไป แมวตัวนั้นก็ได้ตายลง ลูกศิษย์ในวัดจึงหาแมวตัวอื่นมาผูกไว้ที่เสาต้นนั้น
๑๐๐ ปีผ่านไป วัดแห่งนี้กลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเรื่อง "แมวประจำพิธี" ที่จะถูกผูกไว้ที่เสาในโบสถ์ทุกครั้งที่ทำวัตรเย็น
ชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศต่างแห่แหนมากราบไหว้และขอพรจากแมวตัวนี้ โดยบอกต่อ ๆ กันว่าจะได้รับโชคลาภและสิริมงคลกลับบ้านไปทุกคน
(ขอบคุณข้อมูลจาก Anontawong's Musings)
.....
เรื่องที่ ๒ ยกมาจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา
เรื่องมหาโมรชาดก
เป็นเรื่องของนกยูงตัวหนึ่ง เป็นนกยูงทอง อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง
ครั้งนั้น พระมเหสีของพระราชาในเมืองหนึ่ง มีพระสุบินว่าได้พบนกยูงทองตัวหนึ่ง
ครั้นตื่นบรรทมขึ้นมาก็อยากพบนกยูงทองตัวนั้น จึงออกอุบายกราบทูลพระราชาว่าตนเองตั้งครรภ์ ปรารถนาที่จะได้พบนกยูงทอง ถ้าไม่ได้พบก็ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้
พระราชารับสั่งในนายพรานทั้งหมดในแว่นแคว้นไปจับนกยูงทองมาให้ได้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถจับนกยูงทองตัวนั้นได้
เวลาผ่านไป พระมเหสีเมื่อไม่ได้ตามปรารถนา ก็ตรอมพระทัย สิ้นพระชนม์ไป
พระราชาทรงกริ้วนกยูงทองว่าเป็นต้นเหตุทำให้พระมเหสีต้องสิ้นพระชนม์ จึงทรงให้ราชบุรุษจารึกลงในแผ่นทองว่า
"ในป่าแห่งโน้น มีนกยูงทองอาศัยอยู่ ผู้ที่ได้กินเนื้อของนกยูงทองนั้นจะไม่แก่ไม่ตาย"
แล้วบรรจุหนังสือนั้นไว้ในหีบ แล้วสวรรคต
พระราชาองค์ต่อมา เมื่อทอดพระเนตรเห็นแผ่นจารึกนั้น ก็ทรงปรารถนาว่า "เราจะไม่แก่ไม่ตาย" จึงทรงส่งนายพรานออกไปดักจับนกยูงทองตัวนั้น แต่ก็ไม่สามารถจับได้ จนสิ้นรัชกาลของพระองค์
พระราชาองค์ต่อมาก็ทรงประพฤติเช่นเดียวกันอีก
เหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้อยู่หลายรัชกาล เพราะหวังว่าจะได้ไม่แก่ไม่ตาย
.....
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสอุปมาถึงเรื่องทำนองนี้ (ในจังกีสูตร) ว่า
"อุปมาเหมือนคนตาบอดเข้าแถวเกาะหลังกัน
คนอยู่หัวแถว คนอยู่กลางแถว และคนอยู่ปลายแถว ต่างก็มองไม่เห็นกัน"
คนหัวแถวบอกว่ากราบไหว้ขอพรจากแมวแล้วจะได้โชคลาภ ทั้งที่แมวเหล่านั้นก็เป็นแมวธรรมดาที่ถูกจับผูกไว้ ช่วยตัวเองไม่ให้ถูกผูกยังไม่ได้เลย แล้วจะไปให้โชคลาภใครได้
แต่คนกลางแถว คนปลายแถว ก็เชื่อ
คนหัวแถวบอกว่าได้กินเนื้อนกยูงทองแล้วจะไม่แก่ไม่ตาย ทั้งที่รู้ว่ามันไม่จริง
แต่คนกลางแถว คนปลายแถว ก็เชื่อ
.....
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสต่อไปถึงธรรม ๕ ประการที่ให้ผล ๒ อย่างอีกว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ คือ
๑. ความเชื่อ
๒. ความชอบใจ
๓. การฟังตามกันมา
๔. ความตรึกตามอาการ
๕. ความเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้
ธรรม ๕ ประการนี้ มีผล ๒ อย่างในปัจจุบัน คือ
สิ่งที่เชื่อกันด้วยดี สิ่งที่ชอบใจ สิ่งที่ฟังตามกันมาอย่างดี สิ่งที่ตรึกไว้อย่างดี สิ่งที่พินิจไว้อย่างดี
แต่สิ่งนั้นกลับเป็นของว่างเปล่า เป็นเท็จไป ก็มี
สิ่งที่ไม่เชื่อกันด้วยดี สิ่งที่ไม่ชอบใจ สิ่งที่ไม่ฟังตามกันมาอย่างดี สิ่งที่ไม่ได้ตรึกไว้อย่างดี สิ่งที่ไม่ได้พินิจไว้อย่างดี
แต่สิ่งนั้นกลับเป็นจริงแท้ ไม่เป็นอื่น ก็มี"
.....
สิ่งที่เราคิดว่าจริง คิดว่าใช่ อาจจะไม่จริง อาจจะไม่ใช่ก็ได้
สิ่งที่เราคิดว่าไม่จริง คิดว่าไม่ใช่ อาจจะจริง อาจจะใช่ก็ได้
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเรายึดความคิดของเราเป็นหลัก
เราไม่ได้มีความจริงตามพระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นหลัก
ถ้าเราได้ศึกษา ทำความเข้าใจ และเห็นจริง ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เรื่องราวทั้ง ๒ เหตุการณ์ข้างต้นก็จะไม่เกิดขึ้น
ถ้าเรารู้ว่าโชคลาภหรือความเป็นสิริมงคล เกิดจากการทำกรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว
ถ้าเห็นจริงอย่างนี้ การไปกราบไหว้ขอพรจากแมว (หรือสิ่งอื่นที่คิดว่าจะประทานพรให้เราได้) ก็จะไม่เกิดขึ้น
ถ้าเรารู้ว่าธรรมดาของทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนต้องตาย
แม้นกยูงทองเองก็ไม่ได้เป็นอมตะ สักวันหนึ่งก็ต้องตาย
การกินสิ่งที่ไม่ได้เป็นอมตะ แต่คิดว่าจะทำให้เป็นอมตะ มันเป็นไปไม่ได้
ถ้าเห็นจริงอย่างนี้ การดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่จะทำให้ไม่แก่ไม่ตาย ก็จะไม่เกิดขึ้น
ฉะนั้น การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เราควรศึกษา ทำความเข้าใจ จนเห็นจริง ตามพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อใด ที่เรารู้ว่าสิ่งใดใช่ สิ่งใดไม่ใช่ ตามความเป็นจริง
เมื่อนั้น เราก็จะได้ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกที่ควร
เราจะได้ไม่ต้องงมงายไปกราบไหว้สิ่งต่าง ๆ
เราจะได้ไม่ต้องก่ออกุศลกรรม (มีจิตคิดจะฆ่า) เหมือนพระราชาเหล่านั้น
.....
คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น