ในสังคมมนุษย์ ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่ในทุกแวดวง
ไม่ว่าแวดวงนักการเมือง นักธุรกิจ ศิลปินดารา นักกีฬา ฯลฯ
หรือแม้กระทั่งแวดวงพระภิกษุ
ก็มีทั้งพระที่ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบ
และพระที่ประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมกับเพศนักบวช
ถ้าวันหนึ่ง มีพระที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมรูปหนึ่ง
มาบิณฑบาตอยู่ละแวกบ้านของเรา
เราควรใส่บาตรพระรูปนี้ไหม
เราควรกราบไหว้พระรูปนี้ไหม
หรือเราควรทำอย่างไร ?
.....
ในสมัยพุทธกาล
เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กรุงโกสัมพี
ในครั้งนั้น มีภิกษุแตกแยกเป็น ๒ กลุ่ม ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในหมู่ภิกษุด้วยกัน
แม้พระพุทธเจ้าจะทรงห้ามถึง ๓ ครั้ง
แต่ภิกษุเหล่านั้นก็ยังไม่เลิกรา
พระองค์จึงเสด็จจาริกไปกรุงสาวัตถี ไม่ทรงอยู่ร่วมด้วยกับภิกษุเหล่านั้น
ต่อมา ภิกษุเหล่านั้นได้พากันเดินทางไปกรุงสาวัตถีเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
คนทั้งหลายที่อยู่ในกรุงสาวัตถี
เมื่อทราบข่าวว่าภิกษุจากกรุงโกสัมพีที่ก่อการทะเลาะวิวาทกัน
กำลังเดินทางมาเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
จึงคิดกันว่าควรจะทำอย่างไรกับภิกษุเหล่านั้น
.....
ถ้าเราเป็นชาวบ้านอยู่ที่นั่นด้วย
เรารู้ว่า "ภิกษุเหล่านั้นประพฤติไม่เหมาะสม
ไม่มีความยำเกรงในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แม้ถูกห้ามแล้วถึง ๓ ครั้ง ก็ยังไม่เลิกทะเลาะกัน"
เราจะอยากต้อนรับภิกษุเหล่านั้นไหม
.....
ในครั้งนั้น พระเถระ พระเถรี (ภิกษุณี) และอุบาสกอุบาสิกา ที่อยู่ในกรุงสาวัตถี
ต่างเข้าไปกราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
"พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพี ผู้ก่อการทะเลาะวิวาทกัน กำลังเดินทางมา
ข้าพระองค์ควรจะปฏิบัติต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างไร"
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระเถระทั้งหลายว่า
"เธอจงวางตนอยู่อย่างชอบธรรมเถิด"
แล้วตรัสกับพระเถรีทั้งหลายว่า
"เธอจงฟังธรรมในภิกษุทั้ง ๒ ฝ่าย
ครั้นฟังแล้ว จงพอใจความเห็นของฝ่ายธรรมวาที
อนึ่ง วัตรที่ภิกษุณีสงฆ์พึงหวังจากภิกษุสงฆ์
ก็พึงหวังจากภิกษุฝ่ายธรรมวาทีเท่านั้น"
แล้วตรัสกับอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายว่า
"เธอจงถวายทานในภิกษุทั้ง ๒ ฝ่าย
ครั้นถวายแล้ว จงฟังธรรมในภิกษุทั้ง ๒ ฝ่าย
ครั้นฟังแล้ว จงพอใจความเห็นของฝ่ายธรรมวาทีเท่านั้น"
.....
ภิกษุที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมกับเพศนักบวช
ก่อความทะเลาะวิวาทในหมู่สงฆ์
ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา
มันง่ายมากที่เราจะไม่พอใจหรือรังเกียจผู้ที่มีความประพฤติเช่นนี้
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนอย่างไร
แม้ภิกษุเหล่านั้นจะประพฤติไม่เหมาะสม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงให้ภิกษุณี (ในสมัยนั้น) ฟังคำสอนจากภิกษุเหล่านั้นได้
และเมื่อฟังแล้ว ก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาว่าสิ่งที่ฟังมานั้นเป็นธรรมหรือไม่ใช่ธรรม
ถ้าสิ่งนั้นเป็นธรรม ก็จะได้นำมาปฏิบัติ
แต่ถ้าไม่ใช่ธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะได้ละทิ้งเสีย
(รู้ว่าไม่ใช่ธรรม ก็แค่ให้ละทิ้ง ไม่ได้ให้ไปโกรธเกลียดผู้นั้น)
สำหรับฆราวาส ผู้ต้องการบุญ ก็จงทำบุญ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ถวายทานกับภิกษุเหล่านั้นได้ตามปกติ
(เพราะการให้ทาน แม้จะให้กับสัตว์ดิรัจฉาน ก็ยังเป็นบุญ
ไม่ต้องพูดถึงเมื่อให้ทานกับคนเลย)
และถ้าภิกษุเหล่านั้นจะกล่าวสอน ก็รับฟังได้
แล้วใช้ปัญญาพิจารณาว่าคำสอนนั้นเป็นธรรมหรือไม่ใช่ธรรม
(ถ้าไม่ใช่ธรรม ก็วางเฉย ไม่ยินดี ไม่คัดค้าน แล้วละคำสอนนั้นทิ้งไป)
ฉะนั้น เรามีหน้าที่ทำความดีของเราต่อไป
ส่วนใครจะทำไม่ดีอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา
พระพุทธศาสนาสอนให้เราแก้ไขตัวเอง
ไม่ได้ให้เราวิ่งไปแก้ไขคนอื่น
รู้ว่าใครทำดี ทำถูก เราก็โมทนา
รู้ว่าใครทำผิด ทำไม่สมควร เราก็ต้องวางอุเบกขาให้ได้
ถึงจะเป็นพระ แต่ถ้าประพฤติไม่ดี ไม่เหมาะสมกับความเป็นพระ
เขาก็ต้องได้รับผลของกรรมด้วยตัวเขาเอง
อย่าให้ความไม่ดีของเขา มาทำให้ใจเราเศร้าหมอง
อย่าให้ความไม่ดีของเขา มาหยุดการทำความดีของเรา
.....
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น