ศีลนำสุขมาให้


ในสมัยพุทธกาล  มีชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเข้าไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ใจความว่า
"ในฐานะที่พวกข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์  อยู่ครองเรือน
จะมีวิธีใดที่ทำให้พวกข้าพระองค์มีความสุขในความเป็นคฤหัสถ์
และหลังจากตายแล้ว  ได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์"

เป็นคำถามที่น่าสนใจไหมครับ .....

เชื่อว่าเราทุกคนก็คงมีความปรารถนาอย่างเดียวกันนี้
ทำอย่างไรให้เรามีความสุขในชาติปัจจุบันนี้  และหลังจากตายแล้วยังได้ไปสวรรค์อีกด้วย
เรียกว่า  ได้ทั้งประโยชน์สุขในโลกนี้  และประโยชน์สุขในโลกหน้า
พอจะนึกออกไหมครับว่าต้องทำอย่างไร
(ลองนั่งหลับตาแล้วคิดหาคำตอบสัก ๒ - ๓ นาที  ดูซิว่าเราจะมีวิธีการอย่างไร)
.....

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสตอบชาวบ้านเหล่านั้น (ในเวฬุทวาเรยยสูตร)  ใจความว่า

"๑. เราทุกคนล้วนอยากเป็นอยู่  ไม่อยากตาย  รักสุข  เกลียดทุกข์
การที่ใครจะมาทำร้ายร่างกายหรือชีวิตเรา  เราย่อมไม่พอใจ
แม้คนอื่นก็อยากเป็นอยู่  ไม่อยากตาย  รักสุข  เกลียดทุกข์
ฉะนั้น  การที่เราจะไปทำร้ายร่างกายหรือชีวิตใคร  เขาก็ย่อมไม่พอใจเช่นกัน

๒. การที่ใครจะมาหยิบฉวยหรือขโมยของของเรา  เราย่อมไม่พอใจ

ฉะนั้น  การที่เราจะไปหยิบฉวยหรือขโมยของของใคร  เขาก็ย่อมไม่พอใจเช่นกัน

๓. การที่ใครจะมาล่วงเกินหรือหลอกลวงคนรักของเรา  เราย่อมไม่พอใจ

ฉะนั้น  การที่เราจะไปล่วงเกินหรือหลอกลวงคนรักของใคร  เขาก็ย่อมไม่พอใจเช่นกัน

๔. การที่ใครจะมาทำลายประโยชน์ของเราด้วยการพูดเท็จ  เราย่อมไม่พอใจ

ฉะนั้น  การที่เราจะไปทำลายประโยชน์ของใครด้วยการพูดเท็จ  เขาก็ย่อมไม่พอใจเช่นกัน

๕. การที่ใครจะมาพูดยุยงส่อเสียดให้เราแตกจากเพื่อนฝูง  เราย่อมไม่พอใจ

ฉะนั้น  การที่เราจะไปพูดยุยงส่อเสียดให้เขาแตกจากเพื่อนฝูง  เขาก็ย่อมไม่พอใจเช่นกัน

๖. การที่ใครจะมาพูดคำหยาบกับเรา  เราย่อมไม่พอใจ

ฉะนั้น  การที่เราจะไปพูดคำหยาบกับใคร  เขาก็ย่อมไม่พอใจเช่นกัน

๗. การที่ใครจะมาพูดเพ้อเจ้อไร้สาระกับเรา  เราย่อมไม่พอใจ

ฉะนั้น  การที่เราจะไปพูดเพ้อเจ้อไร้สาระกับใคร  เขาก็ย่อมไม่พอใจเช่นกัน

สิ่งใดไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่พอใจของเรา  สิ่งนั้นก็ไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่พอใจแม้ของผู้อื่น

สิ่งใดไม่เป็นที่รัก  ไม่เป็นที่พอใจของเรา  เราจะเอาสิ่งนั้นไปกระทำต่อผู้อื่นได้อย่างไร

เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้ว

-  จึงเป็นผู้ละเว้นขาดจากการกระทำนั้น ๆ ด้วยตนเอง
-  ชักชวนให้ผู้อื่นงดเว้นจากการกระทำนั้น ๆ ด้วย
-  และกล่าวสรรเสริญในการงดเว้นการกระทำนั้น ๆ

นอกจากนี้  ยังเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า  ในพระธรรม  และในพระสงฆ์  และไม่ล่วงละเมิดศีล"


องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า  ผู้ที่สามารถกระทำได้อย่างนี้  จะเป็นผู้ที่ไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก  เปรต  หรือสัตว์ดิรัจฉาน  ไม่ต้องตกไปอบายภูมิ  และยังสามารถจะบรรลุธรรมในที่สุดได้อีกด้วย


อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว  เห็นพระปัญญาตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมครับ
ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้และประกาศพระสัทธรรม  จะมีใครคิดได้เหมือนพระองค์
.....



วิธีที่จะทำให้เราได้รับประโยชน์สุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

ก็คือการเป็นผู้ดำรงมั่นในศีล  ไม่ละเมิดศีล
เว้นขาดจากการเบียดเบียนผู้อื่น  เป็นผู้ไม่มีเวร  ไม่มีภัย  แก่ผู้อื่น
เมื่อเราไม่ก่อเวรภัยให้กับผู้อื่น  เขาก็จะไม่ก่อเวรก่อภัยตอบกับเรา  ได้ประโยชน์สุขในโลกนี้
เมื่อเราไม่ก่ออกุศลกรรมทั้งหลาย  ก็จะไม่มีผลของอกุศลกรรมเกิดขึ้นกับเราแม้ในโลกหน้า

และเมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์เช่นนี้แล้ว

เราก็จะเลิกละการเบียดเบียนผู้อื่น
เราจะกล่าวชักชวนผู้อื่นให้เลิกละการเบียดเบียนกัน
เราจะกล่าวสรรเสริญในการเลิกละการเบียดเบียนกัน
.....

ฉะนั้น  เมื่อเราทุกคนต่างก็รักสุข  เกลียดทุกข์  อยากอยู่  ไม่อยากตาย

เราก็ไม่ควรเบียดเบียนกันและกัน  ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม
เพื่อประโยชน์สุขในโลกนี้  และประโยชน์สุขในโลกหน้า  ของเราเอง .....
ศึลจึงนำความสุขมาให้  ด้วยประการฉะนี้


คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. เวฬุทวาเรยยสูตร (ว่าด้วยพราหมณ์และคหบดีชาวเวฬุทวารคาม)


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น