เมื่อวานนี้ มีคุณพ่อท่านหนึ่งพาลูกชายมาหาเพื่อปรึกษาเรื่องการบวช
พอคุยกันเสร็จแล้ว ทำให้ย้อนนึกขึ้นมาว่าสาเหตุที่แต่ละคนเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานี้ มีอะไรบ้าง
ในตอนต้นพุทธกาล เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาใหม่ ๆ
กุลบุตรที่ได้ฟังธรรมแล้ว เกิดศรัทธาในพระศาสดา
เมื่อมีศรัทธา ย่อมตระหนักว่า 'การอยู่ครองเรือนเป็นเรื่องอึดอัด แวดล้อมด้วยสิ่งยั่วยุทั้งหลาย
การบวชเป็นทางปลอดโปร่ง
การที่ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ใช่ทำได้ง่าย
ทางที่ดี เราควรปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต'
การที่กุลบุตรในสมัยนั้นจะมีความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นได้
ก็เพราะได้ผ่านการฟังธรรมและพิจารณาใคร่ครวญเห็นจริงตาม ในธรรมที่พระศาสดาทรงประกาศไว้ดีแล้ว
ต่อมา เมื่อมีผู้นับถือพระพุทธศาสนามากขึ้น ลาภสักการะในพระศาสนาก็มากขึ้น
จุดประสงค์ในการเข้ามาบวชก็เปลี่ยนไป
หลายคนที่เข้ามาบวชโดยไม่ได้เร่ิมจากการฟังธรรมและพิจารณาใคร่ครวญมาก่อน
- แต่บวชเพราะอยากได้ลาภสักการะในพระศาสนา
- บางคนป่วย ต้องการให้หมอชีวกช่วยรักษา จึงบวช
- บางคนไม่อยากไปรบ ไม่ต้องการเป็นทหาร จึงบวช
และยิ่งไปกว่านั้น
ในสมัยนั้น พระราชาเป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีพระราชดำริจะสนับสนุนการประพฤติธรรม
จึงมีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า
'กุลบุตรเหล่าใดได้บรรพชาในพวกสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร
ใคร ๆ จะทำอะไรกุลบุตรเหล่านั้นมิได้
พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด'
คนทั้งหลายเมื่อทราบดังนี้
- เมื่อทำความผิด ติดคุก ก็แหกคุกหนีมาบวช
- ทำความผิด ถูกออกหมายจับ ก็หนีคดีมาบวช
- เป็นหนี้ ไม่มีเงินใช้คืน ก็หนีเจ้าหนี้มาบวช
- เป็นทาส ต้องการเป็นอิสระ ก็หนีนายมาบวช
... ฯลฯ ...
มาในยุคปัจจุบันนี้ เหตุผลในการบวชก็เปลี่ยนแปลงไปอีกมากมาย
- บวชเพราะพ่อแม่อยากให้บวช
- บวชเพราะคิดว่าจะเป็นบุญกุศลอุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้
- บวชเพราะไม่อยากไปเกณฑ์ทหาร
- บวชเพราะไม่อยากทำงาน
- บวชเพราะหางานทำไม่ได้
- บวชเพราะไม่มีลูกหลานเลี้ยงดู
- บวชเพราะแก้บน
- บวชเพราะเพื่อนชวน
... ฯลฯ ...
ทั้งนี้ คงไม่มีประโยชน์ที่จะไปตัดสินว่าเหตุผลไหนถูก เหตุผลไหนผิด
แต่เมื่อเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานี้แล้ว
พระธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงประกาศไว้ดีแล้ว ที่ไม่ถูกบิดเบือน ก็ยังมีอยู่
พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่สามารถเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระศาสดาได้ ก็ยังมีอยู่
ฉะนั้น เมื่อปัจจัยภายนอกยังมีอยู่พร้อม
ปัจจัยภายในคือผู้ที่เข้ามาบวช จะสามารถทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นจากการบวชได้มากหรือน้อยเพียงไร
ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า
กุลบุตรที่ได้ฟังธรรมดีแล้ว ออกบวชด้วยศรัทธา
เมื่อบวชแล้ว เป็นผู้สำรวมด้วยการสังวรในพระปาติโมกข์
เพียบพร้อมด้วยมารยาทและโคจร (การเที่ยวไป)
เห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท
ประกอบด้วยกายกรรมและวจีกรรมอันเป็นกุศล
มีอาชีวะบริสุทธิ์
สมบูรณ์ด้วยศีล
คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ
เป็นผู้สันโดษ ..... ฯลฯ
นี่คือกิจของสงฆ์ที่ผู้เข้ามาบวชควรศึกษาและเจริญให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อความก้าวหน้าในธรรมของตน
เรียกว่า คว้าประโยชน์ที่เป็นแก่นสารในพระพุทธศาสนาให้ได้
ตั้งแต่ประโยชน์ในเบื้องต้น ประโยชน์ในท่ามกลาง จนถึงประโยชน์สูงสุด
ตามกำลังสติปัญญาและความสามารถ
ไม่ใช่แค่โกนหัว ห่มผ้าเหลือง มีผู้คนกราบไหว้ เช้าเอน เพลนอน
ซึ่งเป็นการเสียโอกาสอย่างน่าเสียดาย
ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะเข้ามาบวชด้วยเหตุผลใดในตอนแรก
ไม่ว่าจะตั้งใจบวชนานแค่ไหน
เมื่อเข้ามาบวชแล้ว ก็ขอให้ศึกษาและปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพทธเจ้า
เพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ควรจะได้ในพระพุทธศาสนานี้เทอญ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น