ไม่ว่าอย่างไร ก็ควรให้ทาน


คนไทยเป็นคนมีน้ำใจ  ชอบทำบุญให้ทานกันมาก
แต่เหตุผลในการให้ทานของแต่ละคนก็อาจแตกต่างกันไป
บางคนให้ทานเพราะบังเอิญประสบเข้า
บางคนให้ทานเพราะความชอบ
บางคนให้ทานเพราะความชัง
บางคนให้ทานเพราะความหลง
บางคนให้ทานเพราะความกลัว
บางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "เขาได้ให้แก่เราแล้ว"
บางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "เขาจะให้แก่เรา"
บางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "การให้ทานเป็นการดี"
บางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "คนเหล่านี้หุงหากินเองไม่ได้  เราควรให้ทานแก่คนเหล่านี้"
บางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "เมื่อเราให้ทานนี้  กิตติศัพท์อันงามย่อมขจรไป"
บางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยให้ทาน  เราไม่ควรให้ประเพณีนี้เสื่อมเสียไป"
บางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "เราให้ทานนี้แล้ว  หลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์"
บางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "เราให้ทานนี้แล้ว  จิตย่อมผ่องใส  เกิดความชื่นชมโสมนัส"
บางคนให้ทานเพื่อเป็นเครื่องประดับจิตและปรุงแต่งจิต (ฝึกจิตให้อ่อนโยน)
ฯลฯ
สารพัดเหตุผลในการให้ทาน


(ขอบคุณภาพจาก facebook.com/picturesofaday)

เมื่อเหตุในการให้ทานของแต่ละคนต่างกัน  แม้จะให้ทานอย่างเดียวกัน  ก็ย่อมมีผลมีอานิสงส์แตกต่างกันไป

พระสารีบุตรเคยกราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
มีได้ไหม  ทานชนิดเดียวกันที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วไม่มีผลมาก  ไม่มีอานิสงส์มาก
แต่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วกลับมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก"

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบว่า  "มีได้  สารีบุตร"

แล้วพระองค์ตรัสอธิบายต่อไป (ในทานมหัปผลสูตร) ว่า
๑. บุคคลบางคนให้ทานอย่างมีใจเยื่อใย  ให้ทานอย่างมีจิตผูกพัน  ให้ทานอย่างมุ่งหวังสั่งสมบุญ  ให้ทานด้วยคิดว่า  "เราละโลกนี้ไปแล้ว  จะเสวยผลของทานนี้"
เขาให้ทานนั้นแล้ว  หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช (สวรรค์ชั้นที่ ๑)

๒. บุคคลบางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "การให้ทานเป็นการดี"

เขาให้ทานนั้นแล้ว  หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (สวรรค์ชั้นที่ ๒)

๓. บุคคลบางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยให้ทาน  เราไม่ควรให้ประเพณีนี้เสื่อมเสียไป"

เขาให้ทานนั้นแล้ว  หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดในสวรรค์ชั้นยามา (สวรรค์ชั้นที่ ๓)

๔. บุคคลบางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "คนเหล่านี้หุงหากินเองไม่ได้  เราควรให้ทานแก่คนเหล่านี้"

เขาให้ทานนั้นแล้ว  หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต (สวรรค์ชั้นที่ ๔)

๕. บุคคลบางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "เราให้ทานเป็นมหาทาน"
เขาให้ทานนั้นแล้ว  หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี (สวรรค์ชั้นที่ ๕)

๖. บุคคลบางคนให้ทานเพราะคิดว่า  "เราให้ทานนี้แล้ว  จิตย่อมผ่องใส  เกิดความชื่นชมโสมนัส"

เขาให้ทานนั้นแล้ว  หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี (สวรรค์ชั้นที่ ๖)

๗. บุคคลบางคนให้ทานเพื่อเป็นเครื่องประดับจิตและปรุงแต่่งจิต

เขาให้ทานนั้นแล้ว  หลังจากตายแล้ว  ย่อมไปเกิดในพรหมโลก
.....

แต่ไม่ว่าผลของทานจะเป็นอย่างไร  การให้ทานก็ยังควรให้

เปรียบเหมือนบ้านที่ถูกไฟไหม้
เจ้าของบ้านขนเอาสิ่งของใดออกมาได้  สิ่งของนั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่เจ้าของบ้าน
ส่วนของที่ไม่ได้ขนออกมา  ย่อมถูกไฟไหม้เสียหายไป  ฉันใดก็ดี
เมื่อความตายกำลังรอเราอยู่
ทานที่ได้ให้แล้วก็เปรียบเหมือนสมบัติที่ขนออกมาได้  ย่อมเป็นประโยชน์แม้ในภพชาติต่อไป

การให้ทานจึงเปรียบเสมือนการเตรียมเสบียงไว้ในภพชาติหน้า
ฉะนั้น  เมื่อมีโอกาส  เราจึงควรทำบุญให้ทานสม่ำเสมอ  เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง

คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง

๑. ทานมหัปผลสูตร (ว่าด้วยทานที่มีผลมากและทานที่ไม่มีผลมาก)


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น