ในสมัยพุทธกาล
มีพระราชาพระองค์หนึ่งตรัสถามพระมเหสีว่า "มีใครที่เป็นที่รักยิ่งกว่าตัวของเธอเองบ้างไหม"
พระมเหสีได้ทูลตอบว่า "ขอเดชะ ใครอื่นที่เป็นที่รักยิ่งกว่าตัวของหม่อมฉันเอง ไม่มีเลย
และใครอื่นซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตัวของพระองค์เองมีอยู่บ้างหรือ"
พระราชาตรัสว่า "ใครอื่นที่เป็นที่รักยิ่งกว่าตัวของเราเอง ไม่มีเลย"
จากนั้น พระราชาพระองค์นั้นได้เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลเรื่องราวที่ทรงสนทนากับพระมเหสีให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ
ครั้งนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระราชานั้นว่า
"บุคคลตั้งใจค้นหาทั่วทุกทิศ
ก็ไม่พบใครที่ไหนซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตนเลย
สัตว์เหล่าอื่นก็รักตนมากเช่นนั้นเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น"
.....
เรา อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์
เราจึงไม่อยากให้ใครมาเบียดเบียนเรา ฉันใด
เขา ก็อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์
เขาก็ไม่อยากให้ใครมาเบียดเบียนเขา ฉันนั้น
เมื่อเป็นดังนี้ ผู้รักตนทั้งหลาย จึงไม่ควรกระทำผิดศีล ไม่ควรเบียดเบียนกันและกัน
ตโยชนวัตถุ (เรื่องคน ๓ จำพวก)
--- เรื่องที่ ๓ ---
มีภิกษุกลุ่มหนึ่ง จำนวน ๗ รูป ออกเดินทางจากปัจจันตชนบท เพื่อไปเฝ้าพระศาสดา
ในระหว่างเดินทางวันหนึ่ง ในเวลาเย็น เดินทางมาถึงวัดแห่งหนึ่ง จึงเข้าไปขอพักอาศัยที่วัดแห่งนั้น
ภิกษุเจ้าถิ่นก็จัดแจงที่พักในถ้ำแห่งหนึ่งให้ มีเตียงอยู่ ๗ เตียงพอดี
ภิกษุอาคันตุกะทั้ง ๗ รูปก็ได้เข้าพักนอนบนเดียงในถ้ำนั้นแล้ว
ตกกลางคืน หินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งกลิ้งลงมาจากภูเขา แล้วหยุดอยู่ที่หน้าถ้ำ ได้ปิดประตูถ้ำนั้นแล้ว
พวกภิกษุเจ้าถิ่นกล่าวว่า "พวกเราให้ถ้ำนี้แก่ภิกษุอาคันตุกะพัก ก็หินก้อนใหญ่นี้กลิ้งลงมาปิดประตูถ้ำเสียแล้ว พวกเรามาช่วยกันนำหินก้อนนี้ออกเถิด"
แล้วได้เกณฑ์พวกชาวบ้านในละแวกนั้น ๗ หมู่บ้านโดยรอบให้มาช่วยกัน
แต่แม้จะพยายามอยู่ ก็ไม่สามารถทำให้หินนั้นขยับได้เลย
ฝ่ายภิกษุอาคันตุกะทั้ง ๗ รูปก็พยายามผลักหินจากด้านใน แต่ก็ไม่สามารถทำให้หินขยับได้เช่นกัน
แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ตลอด ๗ วัน ก็ไม่สามารถทำให้หินขยับได้แม้สักนิด
พวกภิกษุ ๗ รูปที่อยู่ภายในถ้ำ ถูกความหิวแผดเผาตลอด ๗ วัน ได้รับทุกข์ทรมานเป็นอันมาก
แต่แล้วในวันที่ ๗ หินขนาดใหญ่ก้อนนั้นก็ได้กลิ้งออกไปเอง
เมื่อภิกษุอาคันตุกะออกมาจากถ้ำได้แล้ว ต่างก็คิดว่า "โอ กรรมนี้หนักหนอ ผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดูผลกรรมของพวกเรา เว้นพระศาสดาเสีย ใครจะรู้กรรมที่เราทั้งหลายทำแล้ว พวกเราจะทูลถามกรรมนั้นกะพระศาสดา"
ดังนี้แล้ว เดินทางเพื่อไปเฝ้าพระศาสดาต่อไป
ภิกษุกลุ่มนี้ได้เดินทางมาพบกับภิกษุอีก ๒ กลุ่มในระหว่างทาง (อ่านเรื่องราวของภิกษุ ๒ กลุ่มแรกในบทความที่แล้ว)
จึงรวมเป็นพวกเดียวกันเข้าไปเฝ้าพระศาสดา
ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลถึงเหตุที่พวกตนพบเห็นมาแด่พระศาสดา
พระศาสดาได้ตรัสพยากรณ์แก่ภิกษุกลุ่มที่ ๓ นี้ว่า
(พยากรณ์ ในที่นี้แปลว่า ตอบ)
"ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอได้เสวยผลกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้
ก็ในอดีตกาล เด็กเลี้ยงโค ๗ คนชาวกรุงพาราณสี เที่ยวเลี้ยงโคไปตามสถานที่ต่าง ๆ คราวละ ๗ วัน
วันหนึ่ง เด็กทั้ง ๗ คนนั้นเลี้ยงโคเสร็จแล้ว ได้มาพบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง จึงพากันไล่ตาม
เหี้ยนั้นวิ่งหนีเข้าไปสู่จอมปลวกแห่งหนึ่ง จอมปลวกนั้นมีช่องอยู ๗ ช่อง
พวกเด็กเหล่านั้นปรึกษากันว่า "บัดนี้พวกเราไม่อาจจับมันได้ เอาไว้พรุ่งนี้มาจับใหม่เถิด"
ดังนี้แล้ว จึงต่างคนต่างก็ถือเอากิ่งไม้ที่หักได้คนละกำ ๆ
ทั้ง ๗ คนพากันปิดช่องของจอมปลวกทั้ง ๗ ช่อง แล้วพากันกลับไป
วันรุ่งขึ้น เด็กเหล่านั้นไม่มีใครนึกถึงเหี้ยตัวนั้นได้ ต่างพากันต้อนโคไปในที่แห่งอื่น
ครั้นในวันที่ ๗ เด็กเหล่านั้นกลับมาเลี้ยงโคในที่แห่งนี้อีก เมื่อเห็นจอมปลวกนั้นจึงนึกขึ้นได้
คิดกันว่า "เหี้ยนั้นเป็นอย่างไรแล้วหนอ"
จึงช่วยกันเปิดช่องที่พวกตนปิดไว้
เหี้ยตัวนั้นได้รับทุกข์ทรมาน หมดอาลัยในชีวิต ผอมโซเหลือแต่กระดูกและหนัง เดินสั่นคลานออกมา
เด็กเหล่านั้นเห็นแล้วเกิดใจอ่อน จึงพูดว่า "พวกเราอย่าฆ่ามันเลย มันอดอาหารมาตลอด ๗ วันแล้ว"
จึงลูบหลังเหี้ยนั้นแล้วปล่อยไป
ภิกษุทั้งหลาย เด็กเหล่านั้นไม่ต้องไปไหม้อยู่ในนรก เพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ยนั้น
แต่ทั้ง ๗ คนนั้นต้องมาเป็นผู้อดข้าวร่วมกันตลอด ๗ วัน ใน ๑๔ อัตภาพ (๑๔ ชาติ)
ภิกษุทั้งหลาย กรรมนั้นเป็นกรรมที่พวกเธอได้เกิดเป็นเด็กเลี้ยงโค ๗ คนร่วมกันทำไว้ในกาลนั้น"
เมื่อพระศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหาที่ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลถามแล้ว
ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลถามพระศาสดาว่า
"ความหนีพ้นย่อมไม่มีแก่สัตว์ที่ทำกรรมชั่วนั้นไว้
ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี ดำลงไปสู่มหาสมุทรก็ดี หนีเข้าไปสู่ซอกเขาก็ดีหรือ พระพุทธเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสตอบว่า
"อย่างนั้นแหละภิกษุ แม้ในที่ทั้งหลาย ทั้งในอากาศ ในมหาสมุทร หรือในซอกภูเขา
สถานที่สักแห่งหนึ่งที่บุคคลอยู่แล้วพึงหนีพ้นจากกรรมชั่วได้นั้น ไม่มี"
จากนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปอีกว่า
"บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้
ถึงจะเหาะขึ้นไปในอากาศ ก็ไม่พ้นจากบาปกรรมไปได้
ถึงจะดำลงไปในมหาสมุทร ก็ไม่พ้นจากบาปกรรมไปได้
ถึงจะเข้าไปหลบในซอกเขา ก็ไม่พ้นจากบาปกรรมไปได้
เพราะไม่มีแผ่นดินสักส่วนหนึ่งที่คนทำบาปยืนอยู่แล้วจะพ้นจากบาปกรรมได้ ..."
ในเวลาจบพระธรรมเทศนานี้ ภิกษุเหล่านั้นก็บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้มาประชุมกันแล้ว ดังนี้แล
เพราะมีคนแกล้งภิกษุเหล่านั้น
เพราะภิกษุเหล่านั้นอายุครบเบญจเพศ
เพราะราหูย้ายราศี
เพราะปีที่เกิดเหตุนั้นเป็นปีชงของภิกษุเหล่านั้น
หรือเป็นเพราะผลของกรรมไม่ดีที่ภิกษุเหล่านั้นกระทำไว้เอง !!!
ฉะนั้น เมื่อไม่มีใครเป็นที่รักยิ่งกว่าตน
สัตว์เหล่าอื่นก็รักตนมากเช่นนั้นเหมือนกัน
ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น
เพราะการเบียดเบียน นำทุกข์มาให้
คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. มัลลิกาสูตร (ว่าด้วยเรื่องพระนางมัลลิกาเทวี)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น