ทำดีขนาดนี้ ทำไมไม่ได้ดี


เคยมีคนถามว่า
"เราทำงานทุ่มเทเต็มที่  ทำไมเพื่อนร่วมงานชอบกลั่นแกล้ง"
"เรารักเขาคนเดียว  ทำไมเขาแอบไปมีคนอื่น"
"เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแล้ว  ทำไมยังโชคร้ายอยู่อีก"
"เราไม่เคยเอาเปรียบใคร  ทำไมมีแต่คนมาเอาเปรียบเรา"
.....  รวม ๆ แล้ว  ก็คือว่า
"เราทำดีมากขนาดนี้แล้ว  ทำไมยังเจอแต่สิ่งที่ไม่ดีอยู่อีก  ไม่เข้าใจ ???"
แล้วคุณล่ะ  เคยมีคำถามลักษณะนี้ไหม .....

ในขณะที่เราทำความดีต่าง ๆ มากมาย

แต่เรากลับประสบกับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิต
จนหลายคนเกิดความรู้สึกท้อแท้  เหนื่อยหน่าย  สิ้นหวัง
เหตุการณ์ในลักษณะนี้  ไม่ได้เกิดกับใครคนใดคนหนึ่ง  แต่เกิดขึ้นกับหลาย ๆ คน
ไม่ได้เกิดเฉพาะในยุคนี้  แต่ในอดีตก็เคยเกิดขึ้นแล้ว  และในอนาคตก็จะมีเกิดขึ้นอีก
.....  แล้วเราควรจะทำอย่างไร .....


(ขอบคุณภาพจาก pixabay.com)


มหากาลอุปาสกวัตถุ  (เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล)
ในสมัยพุทธกาล  มีชายคนหนึ่งชื่อว่า  มหากาล
ทุก ๆ วันธัมมัสสวนะ (วันพระ)  เขาจะไปอยู่รักษาอุโบสถศีล (ศีล ๘) ที่วัดเป็นประจำ
และฟังธรรมอยู่ในวัดนั้นตลอดทั้งคืนยันรุ่ง

ครั้งหนึ่ง  มีโจรกลุ่มหนึ่งงัดแงะเข้าไปขโมยของในบ้านหลังหนึ่ง

ในขณะที่กำลังรวบรวมสิ่งของอยู่  พลาดทำภาชนะโลหะกระทบกัน  เกิดเสียงดังขึ้น  เจ้าของบ้านจึงตื่นขึ้นมา
พวกโจรเมื่อรู้ว่าเจ้าของบ้านตื่นแล้ว  จึงพากันวิ่งหนี
เจ้าของบ้านก็ออกไล่ตามพวกโจรเหล่านั้น
โจรเหล่านั้นก็แยกย้ายกระจัดกระจายหนีกันไปคนละทาง

ในขณะนั้น  นายมหากาลซึ่งไปฟังธรรมที่วัดตลอดทั้งคืน  ได้ออกมาล้างหน้าอยู่ที่ริมสระหน้าวัด

จรคนหนึ่งวิ่งหนีไปทางนั้น  ได้ทิ้งห่อสิ่งของที่ขโมยมาด้วยไว้ข้าง ๆ นายมหากาลแล้ววิ่งหนีไป
พวกเจ้าของบ้านวิ่งตามมาถึง  เห็นห่อสิ่งของนั้นแล้ว  จึงช่วยกันจับนายมหากาลไว้  แล้วกล่าวว่า
"แกงัดแงะบ้านของข้า  ขโมยของมา  แล้วแกล้งทำเป็นมาฟังธรรมอยู่ที่วัดหรือ"
จากนั้นจึงพากันทุบตีนายมหากาลจนถึงแก่ความตาย

เช้าวันนั้น  ภิกษุและสามเณรทั้งหลายพากันมาตักน้ำที่สระนั้น

พบนายมหากาลนอนตายอยู่ที่นั่น  จึงกล่าวกันว่า
"อุบาสกคนนี้มารักษาอุโบสถศีลวันพระ  ฟังธรรมอยู่ตลอดทั้งคืน  ไม่สมควรที่จะมาตายอยู่ตรงนี้เลย"
แล้วพากันไปเข้าเฝ้าพระศาสดา  กราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบ

(ถามว่า  ถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์นั้น  เราจะคิดอย่างไร

"คนดี ๆ ไม่น่ามาตายแบบนี้เลย"
คิดอย่างนี้หรือเปล่า ???)

พระศาสดาเมื่อทรงทราบเหตุการณ์นั้นแล้ว  ได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นว่า

"อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย  นายมหากาลได้มรณะไม่สมควรในอัตภาพนี้ (ในชาตินี้)
แต่เขาได้มรณะสมควรแก่กรรมที่ทำไว้แล้วในกาลก่อนนั่นเอง"

ภิกษุเหล่านั้นจึงทูลอาราธนาให้พระศาสดาทรงเล่าบุพกรรมของนายมหากาล

พระศาสดาทรงเล่าว่า

ในอดีตกาล  มีพวกโจรซุ่มอยู่ที่ปากดงแห่งบ้านชายแดนแห่งหนึ่ง  ในแคว้นพาราณสี

พระราชาทรงตั้งนายราชภัฏ (ข้าราชการ) คนหนึ่งไว้ที่ปากดงนั้น
ให้นายราชภัฏนั้นรับค่าจ้างเพื่อนำคนจากฟากนี้ไปฟากโน้น  นำคนจากฟากโน้นมาฟากนี้
(เพื่อช่วยป้องกันภัยจากพวกโจรที่ซุ่มอยู่)

ต่อมา  มีชายคนหนึ่งพร้อมภรรยาขึ้นเกวียนไปถึงที่แห่งนั้น

ชายคนนั้นกล่าวกับนายราชภัฏว่า  "นาย  ท่านจงช่วยพากระผมและภรรยาให้ผ่านพ้นดงนี้ด้วยเถิด"
นายราชภัฏนั้นเกิดความสิเนหาในภรรยาของชายคนนั้น  จึงออกอุบายว่า
"บัดนี้ค่ำมืดเสียแล้ว  รอตอนเช้าเถอะ  เราจะช่วยพาท่านให้พ้นดงนี้ไป"

ชายคนนั้นกล่าวว่า  "นาย  ยังมีเวลา  ขอท่านโปรดพากระผมและภรรยาไปตอนนี้เถิด"

นายราชภัฏกล่าวว่า  "รอก่อนเถิด  พวกท่านไปพักที่หมู่บ้านของเราก่อน  เราจะเตรียมอาหารและที่พักไว้ให้  พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด"
ชายคนนั้นแม้ไม่ปรารถนา  แต่ก็ถูกนายราชภัฏและบริวารพาไปที่บ้านหลังหนึ่งแล้วให้พักอยู่ที่นั้น

ในบ้านของนายราชภัฏนั้นมีแก้วมณีดวงหนึ่ง  เขาให้บริวารแอบเอาแก้วมณีนั้นไปซ่อนไว้ในเกวียนของชายคนนั้น

ในเวลาจวนรุ่ง  ให้ทำเสียงเอะอะราวกับว่ามีขโมยขึ้นบ้าน
พวกบริวารของนายราชภัฏร้องตะโกนกันว่า  "นาย  แก้วมณีถูกพวกโจรลักเอาไปแล้ว"
นายราชภัฏสั่งว่า  "พวกเจ้าจงตั้งกองรักษาไว้ที่ประตูหมู่บ้าน  ตรวจค้นคนที่จะออกไปจากบ้าน"

ฝ่ายชายคนนั้นพร้อมภรรยากำลังขับเกวียนออกไป

ถูกพวกบริวารของนายราชภัฏตรวจค้น  พบแก้วมณีที่พวกตนเอามาซ่อนไว้
จึงพูดขู่ว่า  "เจอแล้ว  คนที่ลักเอาแก้วมณีไป"  แล้วคุมตัวไปให้นายราชภัฏ

นายราชภัฏกล่าวว่า  "ตัวเราเป็นถึงนายราชภัฏ  ให้ที่พักอาศัย  ให้อาหาร  เจ้ายังลักแก้วมณีไปได้"

แล้วหันมาสั่งบริวารของตนว่า  "พวกเจ้าจงจับชายผู้นี้ลงโทษ"
ดังนี้แล้ว  ให้ช่วยกันทุบจนตาย

นี้เป็นบุพกรรมของนายมหากาลนั้น

นายราชภัฏนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้น (ตาย) แล้ว  ไปบังเกิดในอเวจี
หมกไหม้อยู่ในอเวจีสิ้นกาลนาน
และเพราะวิบากกรรมที่ยังเหลืออยู่  จึงถูกทุบตีถึงความตายอย่างนั้นอีกใน ๑๐๐ อัตภาพ

ครั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงบุพกรรมของนายมหากาลแล้ว

ได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นว่า
       "ภิกษุทั้งหลาย  บาปกรรมอันตนทำไว้นั่นแล
ย่อมย่ำยีสัตว์เหล่านี้ในอบาย ๔ อย่างนี้"

แล้วตรัสต่อไปอีกว่า

       "บาปอันตนทำไว้เอง  เกิดในตน  มีตนเป็นแดนเกิด
ย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม
ดุจเพชรย่ำยีแก้วมณีอันเกิดแต่หินฉะนั้น"

ในเวลาจบพระธรรมเทศนานี้  ภิกษุเหล่านั้นก็บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น

พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้มาประชุมกันแล้ว  ดังนี้แล
มหากาลอุปาสกวัตถุ  จบ

มาถึงตรงนี้
พอจะได้คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นแล้วใช่ไหม
"เราทำดีมากขนาดนี้แล้ว  ทำไมยังเจอแต่สิ่งที่ไม่ดีอยู่อีก"

การทำความดี  ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผล

แต่เพราะความดีนั้นยังไม่ถึงเวลาให้ผล
และเพราะความชั่วที่เราเคยทำไว้ในกาลก่อนให้ผลอยู่
เราจึงต้องเป็นผู้รับผลของกรรมที่เรากระทำเอง
เราจึงต้องเป็นผู้ตำหนิติเตียนตนเอง  (ไม่ใช่ตำหนิผู้อื่น)
และเมื่อความดีให้ผล  เราจะนึกขอบคุณตัวเองที่เชื่อมั่นในความดีและทำความดี

ฉะนั้น  สิ่งที่เราควรบอกตัวเองก็คือ

ความชั่วให้ผลเป็นทุกข์  ความชั่วแม้นิดก็อย่าได้ทำเลย
ความดีให้ผลเป็นสุข  ความดีแม้นิดก็อย่าได้ละเลย
เรามีหน้าที่ก้มหน้าก้มตาทำความดี  ละความชั่ว  เท่านั้น

ก่อนจบบทความนี้  ขอฝากการบ้านไว้สักนิด

ดูภาพข้างล่างนี้แล้ว  คิดอย่างไร
ก. คนขี่จักรยานยนต์ดวงซวยเอง
ข. คนขับรถบรรทุกไม่ระวัง
ค. ใครก็ไม่รู้เล่นพิเรนทร์  เอาก้อนหินไปวางบนถนน
ง. อื่น ๆ (ระบุ)


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น