"เราทุกคนล้วนอยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์"
และไม่ใช่เพียงภพชาตินี้เท่านั้น
แม้ในภพชาติไหน ๆ เราทุกคนก็ยังอยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์
การกระทำใด ๆ ที่เราคิดว่าจะทำให้เราได้พบความสุขในภพชาตินี้
แต่ถ้าผลของการกระทำนั้น จะทำให้เราต้องพบความทุกข์ในภพชาติต่อไป
เราควรกระทำกรรมนั้นไหม ???
และที่คิดว่าการกระทำนั้น ๆ จะทำให้เราได้พบความสุขในภพชาตินี้
แต่ถ้าการกระทำนั้นเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นหรือเบียดเบียนตนเอง
การกระทำนั้นก็ไม่ได้ทำให้เราพบความสุขได้จริง แม้ในปัจจุบันนี้ก็ตาม
ตัวอย่างที่เห็นกันได้ง่าย ๆ คือเรื่องของศีล
ถ้าเราเบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนตนเอง ละเมิดศีลอยู่เนือง ๆ
เราก็จะเป็นผู้ได้รับโทษทุกข์จากการกระทำนั้น ๆ เช่น
๑. ถึงความเสื่อมโภคทรัพย์เป็นอันมาก
๒. กิตติศัพท์อันชั่วย่อมกระฉ่อนไป
๓. จะไปในที่ใด ๆ ก็ไม่แกล้วกล้า เป็นผู้เก้อเขินเข้าไป
๔. หลงลืมสติตาย
๕. หลังจากตายแล้ว ย่อมไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ลองนึกถึงตัวอย่างที่เป็นข่าวอยู่ในเวลานี้ เรื่องของนักศึกษาแพทย์ที่วางยาเบื่อสุนัขเพื่อหวังเงินประกัน
ถ้าเหตุการณ์นี้เป็นจริง เขาย่อมได้รับผลที่เป็นโทษทุกข์จากการเบียดเบียนผู้อื่น
เขาอาจจะต้องถูกกฎหมายลงโทษทั้งจำทั้งปรับ
ชื่อเสียงในเวลานี้ย่อมเป็นที่ติเตียนไปทั่ว
เมื่อไปในที่ต่าง ๆ ก็ย่อมถูกผู้คนตำหนินินทาได้
ส่วนโทษทุกข์ในข้อ ๔ และ ๕ แม้เขาจะยังไม่ได้รับในปัจจุบัน แต่พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหนึ่ง ไม่มีสอง พระองค์ตรัสไว้เช่นไร ย่อมเป็นเช่นนั้น
เมื่อถึงเวลา เขาย่อมได้รับโทษทุกข์แม้ข้อ ๔ และ ๕ นั้นด้วย
ถามว่า ในขณะที่เขากระทำการเบื่อสุนัขเพื่อหวังเงินประกันนั้น
เขาไม่ได้คิดว่าเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ได้คิดว่าเป็นการละเมิดศีลใช่ไหม
แต่เขาคิดว่ากำลังกระทำเหตุที่ให้ได้มาซึ่งความสุขใช่ไหม
บุคคลที่ไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงชื่อว่าเป็นผู้อาภัพ
เพราะเขาคิดว่าจะหาสุข แต่กลับกระทำกรรมที่นำทุกข์มาให้
ตรงกันข้าม
ถ้าเราตั้งเจตนาไว้ว่าจะไม่เบียดเบียนผู้อื่นหรือตนเอง
ตั้งเจตนาไว้ว่าจะรักษาศีล
เราก็จะเป็นผู้ได้รับอานิสงส์จากการกระทำดี เช่น
๑. ย่อมมีโภคทรัพย์เป็นอันมาก
๒. กิตติศัพท์อันงามย่อมขจรไป
๓. จะไปในที่ใด ๆ ก็มีความแกล้วกล้า เป็นผู้ไม่เก้อเขินเข้าไป
๔. ไม่หลงลืมสติตาย
๕. หลังจากตายแล้ว ย่อมไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์
ตโยชนวัตถุ (เรื่องคน ๓ จำพวก)
--- เรื่องที่ ๑ ---
ภิกษุกลุ่มหนึ่งเดินทางมาเพื่อจะเฝ้าพระศาสดา ในระหว่างทาง ได้เข้าไปสู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อบิณฑบาต
ชาวบ้านรับบาตรของภิกษุเหล่านั้นแล้วนิมนต์ให้นั่งรอในโรงฉัน ถวายข้าวยาคูและของเคี้ยว ระหว่างรอเวลาบิณฑบาต ได้นั่งฟังธรรมอยู่
ในขณะนั้น หญิงคนหนึ่งกำลังหุงข้าวและปรุงอาหารอยู่ เปลวไฟได้ลุกขึ้นจากเตาของหญิงนั้นไปติดชายคา ไฟได้ลามไปติดเสวียนหญ้าอันหนึ่ง แล้วปลิวลอยขึ้นจากชายคาลอยไปบนท้องฟ้า
ในขณะนั้น กาตัวหนึ่งบินมาทางอากาศโดยไม่ทันระวัง สอดคอเข้าไปในเสวียนหญ้านั้น ถูกเสวียนหญ้าที่ลุกติดไฟนั้นพันคออยู่ ไหม้ตกลงมาตายที่กลางหมู่บ้าน
พวกภิกษุเห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว คิดว่า "โอ กรรมนี้หนักหนอ ผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดูกาตัวนั้น เว้นพระศาสดาเสีย ใครจะรู้กรรมที่กานี้ทำแล้ว พวกเราจะทูลถามกรรมของกานั้นจากพระศาสดา"
ดังนี้แล้ว เดินทางเพื่อไปเฝ้าพระศาสดาต่อไป
ยังมีภิกษุอีก ๒ กลุ่ม กำลังเดินทางไปกรุงสาวัตถีเพื่อเข้าเฝ้าพระศาสดาเช่นกัน
และภิกษุทั้ง ๒ กลุ่มนั้นก็ได้พบเหตุการณ์แปลกประหลาดอื่นเช่นกัน
(ขออนุญาตเล่าในบทความต่อไป)
ภิกษุทั้ง ๓ กลุ่มนั้นเดินทางมาบรรจบกันในระหว่างทาง รวมเป็นพวกเดียวกันเข้าไปเฝ้าพระศาสดา
ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลถึงเหตุที่พวกตนพบเห็นมาแด่พระศาสดา
พระศาสดาได้ตรัสพยากรณ์แก่ภิกษุกลุ่มที่ ๑ ว่า
(พยากรณ์ ในที่นี้แปลว่า ตอบ)
"ภิกษุทั้งหลาย กานั้นได้เสวยผลกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้
ก็ในอดีตกาล ชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี ฝึกโคของเขาอยู่ แต่ไม่อาจฝึกได้
ด้วยว่าโคของเขานั้นเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็นอนเสีย
แม้เขาตีให้ลุกขึ้นแล้ว เดินไปได้หน่อยหนึ่ง ก็กลับนอนเสียเหมือนเดิมอีกนั่นแล
ชาวนานั้นแม้พยายามแล้ว ก็ไม่อาจฝึกโคนั้นได้
เขาถูกความโกรธครอบงำแล้ว จึงกล่าวว่า "บัดนี้ เจ้าจงนอนให้สบายเถิด"
แล้วทำโคนั้นให้เป็นดุจฟ่อนฟาง พันคอโคนั้นด้วยฟาง แล้วก็จุดไฟ
โคถูกไฟคลอกตายในที่นั้นเอง
ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปอันเขาทำแล้วในครั้งนั้น
เขาจึงไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน
และเพราะวิบากของกรรมนั้น เขาเกิดเป็นกา ๗ ครั้ง ถูกไฟไหม้ตายในอากาศอย่างนั้นแหละด้วยวิบากที่เหลือ"
เมื่อพระศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหาที่ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลถามแล้ว
ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลถามพระศาสดาว่า
"ความหนีพ้นย่อมไม่มีแก่สัตว์ที่ทำกรรมชั่วนั้นไว้
ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี ดำลงไปสู่มหาสมุทรก็ดี หนีเข้าไปสู่ซอกเขาก็ดีหรือ พระพุทธเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสตอบว่า
"อย่างนั้นแหละภิกษุ แม้ในที่ทั้งหลายมีอากาศเป็นต้น
สถานที่สักแห่งหนึ่งที่บุคคลอยู่แล้วพึงหนีพ้นจากกรรมชั่วได้นั้น ไม่มี"
จากนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปอีกว่า
"บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้
ถึงจะเหาะขึ้นไปในอากาศ ก็ไม่พ้นจากบาปกรรมไปได้
ถึงจะดำลงไปในมหาสมุทร ก็ไม่พ้นจากบาปกรรมไปได้
ถึงจะเข้าไปหลบในซอกเขา ก็ไม่พ้นจากบาปกรรมไปได้
เพราะไม่มีแผ่นดินสักส่วนหนึ่งที่คนทำบาปยืนอยู่แล้วจะพ้นจากบาปกรรมได้ ..."
ในเวลาจบพระธรรมเทศนานี้ ภิกษุเหล่านั้นก็บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้มาประชุมกันแล้ว ดังนี้แล
เขาคิดไหมว่าเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น เขาคิดไหมว่าเป็นการละเมิดศีล
เขาคิดว่าการกระทำนั้นสมควรแล้วใช่ไหม
แต่ผลที่ได้รับเป็นอย่างไร .....
ขอย้ำอีกครั้งว่า
บุคคลที่ไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงชื่อว่าเป็นผู้อาภัพ
เพราะเขาคิดว่าจะหาสุข แต่กลับกระทำกรรมที่นำทุกข์มาให้
ฉะนั้น ก่อนที่จะกระทำกรรมใด ๆ ลงไป
พิจารณาให้ดีว่าการกระทำนั้น ๆ เบียดเบียนผู้อื่นหรือเบียดเบียนตนเองหรือไม่
ถ้าการกระทำนั้น ๆ เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นหรือเบียดเบียนตนเอง อย่ากระทำ
เพราะการเบียดเบียนย่อมนำทุกข์มาให้
คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. สีลสูตร (ว่าด้วยศีล)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น