ในราวป่าแห่งหนึ่ง มีลิงอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง
และมีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งอยู่ใกล้ราวป่านั้น
วันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเข้าไปหาคนในหมู่บ้านนั้น
เขาประกาศว่าต้องการหาซื้อลิงป่าหลายตัว
"ให้ราคาตัวละ ๑๐,๐๐๐ บาท"
ชาวบ้านหลายคนก็สงสัยว่าเขาจะซื้อลิงป่าไปทำไม
แต่ก็มีชาวบ้านบางคนอยากได้เงิน
จึงไปจับลิงป่ามาขายให้เขา
แล้วได้รับเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทจากชายคนนั้น
เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป
จึงมีชาวบ้านหลายคนพากันไปจับลิงมาขายให้เขาบ้าง
วันต่อมา เขาประกาศว่าต้องการลิงมากกว่านี้
"ให้ราคาตัวละ ๒๐,๐๐๐ บาท"
ชาวบ้านที่ได้ข่าว ก็พากันไปจับลิงป่ามาขายให้เขาอีกหลายสิบตัว
และได้รับเงินไปตามราคาที่เขาประกาศไว้
๒ - ๓ วันต่อมา เขาประกาศเพิ่มราคาซื้ออีก
"ให้ราคาตัวละ ๕๐,๐๐๐ บาท"
ชาวบ้านต่างอดหลับอดนอน เข้าไปจับลิงป่ากันทั้งหมู่บ้าน
คราวนี้จับลิงมาจนแทบจะหมดป่า
แล้วขายได้เงินไปเป็นจำนวนมาก
วันต่อมา เขาประกาศว่ายังอยากได้ลิงเพิ่มมากกว่านี้อีก
แต่เขาจำเป็นต้องกลับไปทำธุระในเมือง ๑ สัปดาห์
เสร็จธุระแล้วจะกลับมาซื้อลิงป่าจากชาวบ้าน
"ให้ราคาตัวละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท"
ในระหว่างที่เขาไม่อยู่นี้
เขามอบหมายให้ลูกน้องที่ตามมาด้วยคอยดูแลลิงที่ซื้อไว้แล้ว
ชาวบ้านต่างดีใจที่ราคาลิงสูงถึงหลักแสน
แต่ทว่าลิงป่าถูกจับมาขายหมดแล้ว
ลูกน้องของชายคนนั้นจึงกระซิบบอกชาวบ้านคนหนึ่งว่า
เขาจะแอบขายลิงที่เจ้านายฝากไว้ให้ตัวละ ๗๐,๐๐๐ บาท
แต่ต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามบอกเจ้านายของเขา
ชาวบ้านเหล่านั้นจึงปรึกษากัน
คิดว่า ถ้าซื้อจากลูกน้องตัวละ ๗๐,๐๐๐ บาท
แล้วขายต่อให้เจ้านาย ได้ตัวละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ก็ยังมีกำไรตัวละ ๓๐,๐๐๐ บาท
วันรุ่งขึ้น ชาวบ้านเหล่านั้นจึงพากันมาขอซื้อต่อจากลูกน้องของชายคนนั้น
คนที่พอมีเงิน ก็ซื้อลิงไปหลายตัว
คนที่มีเงินไม่พอ ก็ไปขอยืมเงินจากเพื่อนเพื่อมาซื้อลิงเช่นกัน
ในที่สุด ลิงทุกตัวก็ถูกซื้อไปจนหมด
จากนั้น ก็แค่รอเวลาให้ชายคนนั้นกลับมา
ผ่านไป ๑ สัปดาห์
ชายคนนั้นยังไม่กลับมา
ชาวบ้านเหล่านั้นเริ่มกังวลใจ จึงไปหาลูกน้องของเขา
แต่ลูกน้องคนนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกับชาวบ้านเหล่านั้น
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.rolfsuey.com/2017/12/bitcoin-monkey-business.html)
.....
ทำให้ชาวบ้านคิดว่าจะสามารถหาเงินได้จากการซื้อขายลิง
ความผิดทั้งหมดเป็นของชายคนนั้น
ใช่หรือไม่ ?
.....
(ขอบคุณภาพโดย bill wegener จาก Unsplash.com)
ครั้งหนึ่ง
มีพระราชาองค์หนึ่งทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ในปุริสสูตร) ว่า
"อะไรหนอเมื่อเกิดขึ้นภายในใจแล้ว
ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่ผาสุก"
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
"โลภะ โทสะ โมหะ (โลภ โกรธ หลง)
เมื่อเกิดขึ้นภายในใจแล้ว
ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่ผาสุก"
นอกจากนี้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายอีก (ในโลภปริญญาสูตร) ว่า
"ผู้ไม่รู้ซึ้งถึงโลภะ ยังกำหนดรู้โลภะไม่ได้ ยังไม่คลายความพอใจในโลภะนั้น
ยังละโลภะไม่ได้ ก็ยังไม่อาจสิ้นทุกข์ได้
ส่วนผู้รู้ซึ้งถึงโลภะ กำหนดรู้โลภะได้ คลายความพอใจในโลภะนั้นได้
ละโลภะได้แล้ว จึงสามารถสิ้นทุกข์ได้"
.....
พระพุทธเจ้าทรงเน้นให้เรากลัับมาสำรวจตัวเอง
แม้จะมีใครใช้อุบายหลอกล่อเรา
แต่ถ้าเราไม่มีความโลภ
อุบายของเขาก็จะไม่ได้ผล
เหมือนปลาที่กินเบ็ด
ไม่ใช่เพราะเขาเอาเหยื่อมาล่อ
แต่เพราะปลาเข้าไปตะครุบเหยื่อเอง
ความทุกข์บางอย่างที่เราต้องประสบอยู่
ไม่ใช่เพราะถูกผู้อื่นหลอกลวง
แต่เพราะความโลภที่มีอยู่ในใจ เราจึงตะครุบเหยื่อเอง
.....
ความโลภเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้าไม่สามารถยับยั้งได้
ก็อาจเป็นเหตุให้ก่ออกุศลกรรมต่าง ๆ ตามมาได้อีก
เช่น
บางคนวางแผนฆ่าภรรยาเพื่อเอาเงินประกันชีวิต
บางคนเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้เหยื่อโอนเงิน
บางคนวางแผนเอาเงินรางวัลลอตเตอรี่ของเพื่อน
ฯลฯ
หรือชาวบ้านเหล่านั้นที่จับลิงมาขาย เป็นการค้าชีวิตสัตว์
ทำให้พรากลูกพรากแม่
ทำให้ขาดอิสรภาพ
ทำให้ลิงบาดเจ็บ ได้รับทุกข์ทรมาน
และเมื่อก่อบาปอกุศลกรรมขึ้นแล้ว
เราก็ต้องเป็นผู้รับผลของบาปอกุศลนั้นเองอีกต่อไป
.....
ในที่นี้
ไม่ได้เข้าข้างชายคนนั้นที่หลอกลวงชาวบ้านเรื่องซื้อลิง
ไม่ได้หมายความว่าชายคนนั้นไม่ผิด
แต่สิ่งที่สำคัญที่ควรจัดการ คือความโลภที่อยู่ในใจเรา
"ความโลภเมื่อเกิดขึ้นภายในใจแล้ว
ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่ผาสุก"
ถ้าเราสามารถรู้ทัน และละความโลภที่เกิดขึ้นได้
เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของความโลภ
และเราก็จะไม่ต้องก่อบาปอกุศลกรรมใด ๆ
ทุกข์ที่เกิดจากความโลภก็จะไม่มี
..........
คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. ปุริสสูตร (ว่าด้วยธรรมที่ไม่เกิดประโยชน์แก่บุรุษ)
๒. โลภปริญญาสูตร (ว่าด้วยการกำหนดรู้โลภะ)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น