ในสมัยพุทธกาล
พระภิกษุชื่ออริฏฐะ เป็นผู้ศึกษาเล่าเรียนมามาก และเป็นผู้กล่าวสอนธรรม
ท่านได้กล่าวสอนคนทั้งหลายว่า
"พวกคฤหัสถ์ที่ยุ่งเกี่ยวอยู่กับกามคุณ แต่บรรลุโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ก็มีอยู่
แม้พวกภิกษุก็ยังรับรู้รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสต่าง ๆ ยังใช้สอยผ้าที่อ่อนนุ่มได้
แสดงว่ากามคุณเหล่านี้ไม่มีโทษ สิ่งนี้ทั้งหมดถือว่าควร
แล้วทำไมรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสของสตรีจะไม่ควรเล่า
สิ่งเหล่านั้นต้องควรแน่นอน ฉะนั้น เมถุนธรรมไม่มีโทษ"
จากสิ่งที่ท่านคิด ก็ดูเหมือนจะเป็นเหตุเป็นผลกัน
แต่สิ่งที่ท่านไม่ได้พิจารณา คือ
ผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว บริโภคกามคุณโดยไม่กำหนัดยินดี
กามคุณเหล่านั้นจึงไม่มีโทษ
แต่ปุถุชนบริโภคกามคุณโดยมีความกำหนัดยินดี
กามคุณเหล่านั้นจึงมีโทษ
เมื่อท่านไม่เข้าใจในสิ่งนี้ จึงประกาศคำสอนไปตามที่เข้าใจ
แต่ผู้ที่โชคร้ายกว่านั้น คือผู้ฟังที่ไม่ฉลาด ที่อาจจะหลงเชื่อ
เมื่อหลงเชื่อแล้ว ไม่เห็นโทษของกามคุณ
ก็จะปฏิบัติผิดไปจากพระสัทธรรมที่แท้จริงได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี เรื่องลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ คือ
"ธรรมเหล่าใดที่
- เป็นไปเพื่อคลายความกำหนัด มิใช่เพื่อความกำหนัด
- เป็นไปเพื่อคลายความผูกรัด มิใช่เพื่อการประกอบไว้
- เป็นไปเพื่อการไม่สะสม มิใช่เพื่อการสะสม
- เป็นไปเพื่อความมักน้อย มิใช่เพื่อความมักมาก
- เป็นไปเพื่อความสันโดษ มิใช่เพื่อความไม่สันโดษ
- เป็นไปเพื่อความสงัด มิใช่เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
- เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร มิใช่เพื่อความเกียจคร้าน
- เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย มิใช่เพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก
พึงรู้ว่านั่นเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสอนในของพระศาสดา"
(แต่ถ้ามีลักษณะตรงกันข้าม ก็ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดา)
ในปัจจุบันนี้ ก็มีผู้ที่กล่าวสอนธรรมะมากมาย
ทั้งจากฆราวาสและพระภิกษุ
แต่คำสอนเหล่านั้นจะเป็นธรรมในพระพุทธศาสนาทั้งหมดหรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น มีผู้กล่าวสอนว่า
"ถ้าคุณเกลียดใคร
คุณไม่ต้องสาปแช่งเขาหรอก
คนเลว ๆ มีมากพอแล้ว
เราอย่าเลวไปอีกคนหนึ่ง
เราควรใช้ชีวิตของเราให้ดี
การแช่งเขาเท่ากับเราเลวไปด้วย" .....
หรือกล่าวสอนว่า
"ใครไม่เข้าใจเรา ก็ช่างเขา
แต่เราจะต้องเข้าใจตัวเอง
ใครคิดไม่ดีกับเรา ปล่อยเขาไป
เขาจะแพ้ภัยตัวเอง" .....
ดูเผิน ๆ ก็อาจจะเหมือนธรรมะ
แต่จะใช่ธรรมะในพระพุทธศาสนาหรือไม่
.
.
.
.
.
.
.
.
สำหรับคำสอนแรก
"ถ้าคุณเกลียดใคร
คุณไม่ต้องสาปแช่งเขาหรอก
คนเลว ๆ มีมากพอแล้ว
เราอย่าเลวไปอีกคนหนึ่ง
เราควรใช้ชีวิตของเราให้ดี
การแช่งเขาเท่ากับเราเลวไปด้วย" .....
การสาปแช่ง เป็นอกุศลกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเราไม่ควรทำ
แต่การเตือนตัวเองด้วยวิธีดังกล่าว ไม่ได้ทำให้เราหยุดความเกลียดได้
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีเหตุมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น
ต่อเมื่อเหตุปัจจัยนั้นดับ สิ่งนั้นจึงจะดับ
ฉะนั้น เราต้องรู้เหตุที่ทำให้เราเกลียด และดับที่เหตุนั้น
และเมื่อเราไม่มีความเกลียด การสาปแช่งก็จะไม่มีเอง
เหตุที่ทำให้เราเกลียด ไม่ใช่เพราะเขาด่าเรา ไม่ใช่เพราะเขาทำไม่ดี
แต่เกิดจากราคะ โทสะ โมหะ ในใจเรานั่นแหละ
(หันกลับมาแก้ไขราคะ โทสะ โมหะ ในใจของเรา)
.
.
.
.
.
.
.
.
สำหรับคำสอนที่ ๒
"ใครไม่เข้าใจเรา ก็ช่างเขา
แต่เราจะต้องเข้าใจตัวเอง
ใครคิดไม่ดีกับเรา ปล่อยเขาไป
เขาจะแพ้ภัยตัวเอง" .....
ถ้าเราทำตัวไม่ดี แล้วมีผู้หวังดีมาตักเตือน
แต่เรากลับคิดว่าเขาอิจฉาเรา เขาคิดร้ายกับเรา
ก็เลยภาวนาว่า "เขาคิดไม่ดีกับเรา ปล่อยเขาไป เขาจะแพ้ภัยตัวเอง"
เราก็จะไม่ได้กลับมาพิจารณาถึงคำเตือนของผู้หวังดีนั้น
ผลร้ายก็จะเกิดขึ้นกับเราเอง
เรานั่นแหละจะแพ้ภัย (จากความถือดีอวดเก่ง) ของตัวเอง
(หันกลับมาแก้ไขความถือดีอวดเก่งในใจของเรา)
.
.
.
.
ช่วงนี้ก็ใกล้เทศกาลปีใหม่แล้ว
หลายคนอาจจะกำลังมองหาหนังสือธรรมะเป็นของขวัญปีใหม่
หรืออาจจะแชร์ข้อความธรรมะให้เพื่อน ๆ
แต่ข้อความบางอย่าง หนังสือบางเล่ม คล้ายพระธรรม แต่ไม่ใช่
ฉะนั้น ก่อนที่จะให้ เราควรมีโอกาสได้นั่งอ่าน นั่งพิจารณาเนื้อหา
ในหนังสือหรือข้อความนั้น ๆ ว่าใช่ธรรมะในพระพุทธศาสนาจริงหรือไม่
ให้ชัวร์ก่อนที่จะแชร์หนังสือหรือโพสต์นั้นออกไป
เพื่อความไม่มีโทษ
และเกิดประโยชน์สุขแก่ผู้รับที่เรารักได้อย่างแท้จริง
.....
คลิกอ่านเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่เกี่ยวข้อง
๑. สังขิตตสูตร (ว่าด้วยลักษณะธรรมวินัยโดยย่อ)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น